อ่าน I Am Malala มาถึงบทที่ 16
รู้สึกทึ่งกับสิ่งที่เธอเล่ามาก แน่นอนว่างานเขียนชิ้นนี้ บรรณาธิการน่าจะมีบทบาทในการเคี่ยวกรำไม่น้อย แต่วัตถุดิบที่มาลาลาใส่เข้าไปในชิ้นงานดีมาก ไม่ได้หมายถึงเรื่องที่เธอโดนกลุ่มตาลีบันยิงศีรษะแล้วรอดฟื้นมาได้ แต่วิธีที่เธอเล่าถึง Swat Valley หุบเขาที่เธอเกิดและเติบโตมา คือวัตถุดิบชั้นเยี่ยมจริงๆ
การเล่าถึงบ้านเกิดของมาลาลา ทำให้เราหวนคิดถึงบ้านเกิดของตัวเอง มาลาลาบอกว่า Swat Valley ก่อนตาลีบันจะบุกเข้ามาคือสวรรค์ เราไม่เคยมองว่าบ้านเกิดเราคือสวรรค์ แต่เราคิดว่ามันพิเศษ ไม่ต่างจากที่มาลาลามอง Swat
การศึกษาที่มาลาลาได้รับช่างน่าทึ่ง เธอเรียนโรงเรียนสองภาษา บ้านก็ไม่ได้ร่ำรวย เราคิดภาพบ้านที่เธอบรรยายออกด้วยซ้ำ ในดินแดนที่เต็มไปด้วยปัญหา เราทึ่งที่เด็กที่เข้าเรียนโรงเรียนสองภาษาแบบมาลาลา (ซึ่งไม่ได้เหมือนโรงเรียนอินเตอร์ใน กทม แน่ๆ) ใช้ภาษาอังกฤษได้ดีอย่างน่าทึ่งตั้งแต่วัยสิบกว่าขวบ อันหมายถึงครูต้องมีบทบาทอย่างสูง เราย้อนกลับมามองเมืองไทย ภาษาอังกฤษไม่ใช่ทุกอย่าง แต่มีอะไรขัดขวางการพัฒนาทักษะของเด็กเราอยู่หนอ
โลกจะไม่รู้จักมาลาลามากขนาดนี้ ไม่ได้ฟังเรื่องเล่าจาก Swat Valley มากขนาดนี้ ถ้ามาลาลาสื่อสารภาษาอังกฤษไม่ได้ดีแบบนี้ ส่วนหนึ่งมันคือประตูที่เปิดเธอเข้าสู่โลกที่กว้างกว่าเดิม และเชื่อมให้เธอเล่าถึงสถานการณ์ Swat Valley ได้ดีขึ้น
หนังสือเล่มนี้ยังเปิดโลกอีกหลายอย่าง เรื่องที่ชาว Pashtun แห่ง Swat ไม่ถือตนเป็นปากีสถานหรืออัฟกานิสถาน ทำให้เราเรียนรู้การขีดเส้นพรมแดนของยุคสมัยใหม่ ว่ามีผลต่อชีวิตของผู้คน ชาว Swat ต้องกลายเป็นชาวปากีสถาน แม้พวกเขาจะรู้สึกว่าไม่ใช่ และอันที่จริงรัฐบาลปากีสถานก็ไม่ได้ปกป้องพวกเขาจากตาลีบันเลย
หนังสือที่ควรถูกบรรจุในชั้นเรียนไทย เพื่อให้เราได้เรียนรู้ถึงความหลากหลายบนโลก