Another story

todaikids

1)

“Everybody feels a little crazy, but we go on living with it.” – “Another Story” song by “The Head and The Heart”

ฉันเจอข้อความนี้ในเฟสบุ๊คของพี่คุ่น ปราบดา หยุ่น เมื่อหลายวันก่อน … แปลกดีที่พอเห็นประโยคนี้ ภาพของผู้หญิงคนหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัว

เธอเป็นพี่สาวของเพื่อนสนิทฉันเอง…และเป็นคนที่ฉันสามารถเรียกได้ว่า ฉันแทบไม่รู้จักเธอเลย

เอาจริงๆ แล้ว ฉันก็แทบไม่รู้จักกับอีกหลายสิ่งหลายอย่างบนโลก

เราไม่มีวันรู้ว่าผู้คนที่เราเดินผ่านในแต่ละวันตอนเดินเข้าเซเว่นอิเลฟเว่น คนที่ขึ้นลิฟต์ตัวเดียวกัน คนที่บังเอิญโดยสารรถไฟขบวนเดียวกันจากสถานีนิปโปริไปสถานีชินจูกุ หรือคนที่สอนเราในชั่วโมงภาษาอังกฤษการเขียนขั้นสูง เขาและเธอเคยเดินผ่านชีวิตแบบไหนมา

และเขาและเธอแบกอะไรไว้บ้าง…ในสิ่งที่เรียกว่าชีวิต

พี่สาวของเพื่อนสนิทของฉัน ก็เหมือนคนธรรมดาทั่วไปบนโลกใบนี้ เธอเข้าเรียนตามการศึกษาในระบบ พอจบชั้นมัธยมก็ต่อมหาวิทยาลัย เธอเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร เธอมีความรัก เธอแต่งงาน และเธอมีลูก

จากนั้นสามีเธอก็เสียชีวิตกะทันหันในปีต่อมา

ในช่วงวัยที่ตัวเลขบ่งบอกอายุขัยยังขึ้นต้นด้วยเลข 2 การต้องเป็นคุณแม่พร้อมๆ กับเป็นม่ายสามีตาย คงไม่ใช่สิ่งที่คนเราจะรับมือมันได้ง่ายๆ

สิ่งที่ยากมากกว่าการคิดว่าจะหาเงินมาเลี้ยงลูกตามลำพังได้ยังไง คงเป็นการกอบกู้ตัวเองให้ลุกขึ้นจากที่นอนในแต่ละวันให้ได้ก่อน…

คนที่เคยผจญความเศร้าจากการสูญเสียบางอย่างทุกคน คงพอจินตนาการได้ว่า …การนอนให้หลับ และตื่นมาในอีกเช้าวันหนึ่ง ทำได้ยากขนาดไหน

ฉันไม่รู้ว่าเธอผ่านมันมาได้อย่างไรด้วยซ้ำ

แต่ตอนนี้ลูกชายเธออายุ 7 ปีแล้ว

และเธอไม่เคยแต่งงานใหม่

2)

ว่ากันว่า ความเหงา กลายเป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งในชีวิตของผู้คนสมัยใหม่

เรามีเฟซบุ๊ค เรามีทวิตเตอร์ เรามีอินสตาแกรม (เรามีเว่ยโบตามเด็กจีน … เหรอ?) เรามีคอนเสิร์ต SM Town in Tokyo ให้ตั้งตารอคลิป แต่บางครั้งเราก็ยังเหงา

และรู้สึกเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง ทั้งที่จริงๆ เราอาจไม่ได้ขาด

แต่กับผู้คนที่สูญเสียอะไรไปจริงๆ ขาดสิ่งสำคัญในชีวิตไปจริงๆ พวกเขาอาจเดินสวนเราในเซเว่นอิเลฟเว่นด้วยใบหน้าที่เป็นปกติที่สุด จนเราไม่อาจรู้ได้เลยก็เป็นได้

ว่าเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว … ลูกในวัยประถมหนึ่งของเขาอาจจมน้ำตาย และเขาเคยร้องไห้ปานโลกจะแตกสลาย

ว่าเมื่อสิบหกปีก่อน … เธอเคยคิดค่าตัวตายหลังสูญเสียงาน บ้าน รถ จากวิกฤตเศรษฐกิจ

ว่าเมื่อสิบสี่ปีก่อน … เขาเคยประสบอุบัติเหตุร้ายแรงเพราะความเลินเล่อของคนเมา จนทำให้เขาเสียนิ้วมือที่ควรต้องใช้มือผ่าตัดและกลายเป็นหมอไม่ได้

ว่าเมื่อหกปีก่อน … เธอต้องเลี้ยงลูกอายุ 1 ขวบให้เติบโตมาได้ตามลำพังท่ามกลางความผันผวนแปรปรวนของการเมืองไทยและสังคมโลก

บางครั้ง กับการเป็นชนชั้นกลางในสังคมสมัยใหม่ แค่การได้คะแนนวิชาสถิติน้อยกว่าคนอื่นในชั้น อาจทำให้เรารู้สึกเซ็งเป็ด และทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในสายตาก็ดูแสนเส็งเคร็งได้ง่ายๆ

บางครั้งเราอาจรู้สึกว่าโลกโหดร้ายจัง เพราะวันนั้นฝนดันตกหนัก เราลืมเอาร่มมา เราเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์แทบไม่รู้เรื่อง และคนอื่นลืมส่งเทิยบเชิญในเฟซบุ๊กมาชวนเราไปปาร์ตี้ที่ทุกคนล้วนไป

บางครั้งเราอาจรู้สึกว่า โลกคงไม่มีพระเจ้า  เพราะไม่งั้นเราคงไม่เจอเรื่องบ้าบองี่เง่าแบบเมื่อวันก่อน

แต่นั่นแหละ เราทุกคนล้วนต้องเคยเจอกับอะไรที่ผิดโผ พลิกแผน หนักบ้างเบาบ้างนั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง

Everybody feels a little crazy

But we go on living with it.

3)

ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่สาวของเพื่อนผ่านวันเวลาเหล่านั้นมาได้ยังไง

ฉันเคยนั่งรถทางไกลไปกับเพื่อน … เวลาติดแหงกอยู่ในรถนานๆ มันง่ายมากที่เราจะหลุดปากถามอะไรที่ค้างคาใจอยู่ออกมา

แต่ฉันก็ไม่เคยยกเรื่องนี้มาถามเพื่อนสักที

แปลกดีที่ฉันเคยมีอาชีพต้องสัมภาษณ์ถามซอกแซ่กนั่นนี่กับผู้คนที่ไม่สนิทเพื่อเอามาเขียน…และหาเงินเลี้ยงชีพ

แต่พอกับคนที่สนิทมากๆ บางครั้งเราก็เลือกที่จะเงียบ

จะบอกให้ว่าในความเงียบฉันไม่ได้ยินอะไรหรอก (แหม…ใครมันจะไปได้ยินอะไรในความเงียบกันล่ะ ไม่ใช่นักปฏิบัติธรรมขั้นสูงนะโว้ย)

แต่ฉันคิดว่า เรื่องหลายๆ อย่างในโลก เวลาและผู้คนรอบตัวคงช่วยเยียวยามันได้

เราก็แค่ต้องพยายามลุกขึ้นมากินข้าวเช้าให้ได้ ต่อด้วยข้าวเที่ยง ตามด้วยข้าวเย็น และพยายามนอนให้หลับ (ออกกำลังกับอ่าน Women’s Health ด้วยก็คงดี  ><)

เพราะ Everybody feels a little crazy

But we go on living with it.

[status] 2013.10.20

(คลุกวงเบียร์เด็กจีน)

หลังจากไปนั่งเจ๋อในวงเบียร์กับเด็กจีนเมื่อวันเสาร์ (พวกมันคงยังงงอยู่ว่า อิป้าที่เพิ่งรู้จักกันได้สามสิบนาทีกล้าดียังไงถึงมาร่วมวงด้วย…แล้วแบบ ตามไปทีหลังคนเดียวด้วยนะ ก็ยังฟิตไป ><) ก็ใช้สกิลในการเคยสัมภาษณ์คนลงนิตยสาร มาสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่างประชากรจีนรุ่นใหม่ 23-25 ปี ที่จบการศึกษาจากละแวกปักกิ่ง หรือบางคนก็มาเรียนที่โตเกียวตั้งแต่ปริญญาตรีได้ดังนี้

1)เด็กจีนรุ่นนี้ปั่นจักรยานไม่ได้แล้วนะคะๆๆๆๆ … ที่นั่งกันในวงเบียร์ทั้งเด็กหนุ่มเด็กสาวนี่ปั่นจักรยานไม่ได้สักคนค่ะ พวกนางๆ บอกว่า ภาพจำที่ต่างชาติมองว่าคนจีนปั่นจักรยานเก่งนี่ ผิดแล้วนะคะ ไม่ใช่ปัจจุบันค่ะ อัพเดตด้วยค่ะ 

2)พวกนางบอกว่า เกิดมานางก็เจอรถไฟ รถเมล์ และรถยนต์เลยค่ะ ถ้าไม่ใช้ public transportation พวกนางก็ขับรถยนต์เลย ไม่มีนะคะ พ่อแม่หัดให้ขี่จักรยาน นางบอกหายากค่ะ
3)คนมองว่าเศรษฐกิจจีนกำลังเติบโตได้ดี … แต่พวกนางบอกว่า ตอนนี้จีนกำลังเริ่มเจอปัญหา ประชากรสูงอายุเยอะ และประชากรวัยทำงานเริ่มลดลง อีกไม่เกินสิบปี จีนอาจจะต้องเริ่มวิตกแบบที่ญี่ปุ่นกำลังวิตกอยู่ aging society มาแล้วนะคะ พวกนางบอกว่า ถ้าพวกเราเรียนจบ พวกเราก็ต้องทำงานเพื่อหาเลี้ยง old people ค่ะ

4)เรื่องเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์นั้น จากการคุยกับกลุ่มตัวอย่างเด็กจีนที่มาเรียนต่างประเทศ (แต่ไม่นับว่าเป็นเด็กอินเตอร์นะฮ้า เพราะยังสังสรรค์และเกาะติดแต่กับเด็กจีนด้วยกันโดยมาก) น้องๆ ทังหลายบอกว่า เรามีเว่ยโปของเรา เรามีเรนเรน (เฟซบุ๊กเวอร์ชั่นจีน) ของเรา เพื่อนเราอยู่ในนั้นกันหมด พอเรามาที่นี่ เราก็เปิดเฟซบุ๊กกับทวิตเตอร์ จากนั้นเราก็นั่งมองหน้าจอแบบมึนๆ … โดยไม่รู้ว่าต้องทำอะไรกับมันดี XD

5)คุยเรื่องมูราคามิ วกมาโนเบลไพรซ์ พวกนางก็หัวเราะกันใหญ่ว่ามูราคามิแห้วมาเป็นปีที่ 7 แล้ว แถมปีก่อนแห้วให้คนจีนด้วยนะ (จ๊ะ) 

6)พวกนางบอกว่า คนอื่นชอบเข้าใจว่าคนญี่ปุ่นมักโดนสังคมบังคับให้ต้องแต่งงาน ไม่งั้นจะถูกมองว่าประหลาด พวกนางยืนยันว่า สังคมจีนกดดันพวกนางมากกว่านั้นอีกค่ะ นางอายุ 23 กันนี่นางเริ่มเครียดแล้วนะคะๆๆๆๆ (จ๊ะ)

7)พวกนางชอบเมืองไทยนะคะ 

8)พวกนางถามเหตุผลที่อิชั้นไม่อยากทำงานอยู่ที่ กทม. แล้ว นางถามว่า “ยูถูกรุกรานด้วยนักท่องเที่ยวคนจีนเหรอ” (นางใช้คำว่า ไชนีสทัวริสต์อินเวดเดอร์ นะๆๆๆ) …ต๊าย พวกนางจิกกัดตัวเองด้วยอ่ะ เริ่มเลิฟก็ตรงนี้แหละ

9)นางบอกว่า เด็กจีนยุค วันไชลด์โพลิซี (นโยบายให้แต่ละครอบครัวมีลูกคนเดียว) มีความกังวลกดดันสูงค่ะ แล้วเศรษฐกิจจีนที่เหมาะกับการเป็น start up ก็ผ่านมาสิบปีแล้วค่ะ นางบอกว่า ยุคนี้จริงๆ การตั้งบริษัทใหม่ให้ประสบความสำเร็จเป็นเรื่องยากค่ะ (อาจจะยกเว้นอาณาจักรมือถือใหม่ยี่ห้อ โช่ว์หมี ที่เพิ่งเปิดตัวปี 2010) แล้วถึงพวกนางจะเรียนจบจากญี่ปุ่น นางก็ต้องไปแข่งขันกับพวกจบจากฮาวาร์ด เอ็มไอที เคมบริดจ์ อีกค่ะ นางเครียดนะคะเนี่ย

10)นางบอกว่าคนที่ได้โนเบลสันติภาพปีก่อนนู้น ตอนนี้ก็ยังอยู่ในคุกอยู่เลย

จบเท่านี้ก่อนค่ะ

[a week in photos] First week of Oct 2013

The first week of Oct has arrived. And the semester is here (Oh, no!)

I am not so ready (and never will be), but life still goes on.

Just enjoy it. We are still young (really???). Breath and eat, this is my general philosophy in life.

And my mom always says “Do not forget to have breakfast”.

Word of wisdom, really. She should win a nobel peace prize. 🙂

 

 

 

 

Start with this video: “Love Elevator”.

I think each floor represents each step in life that we have walked pass.

Always love the work of Wisut Ponnimit; one of the best in Thai modern day artists.

 

 

 

 

 

First day at School with Pink jeans. Pink is my real Black, haha.

รูปภาพ

 

 

 

 

 

One of my dream is to visit Tokyo Dome. I went there the day that Giants had a battle match with Swallows.

รูปภาพ

 

 

 

 

 

Life is about High and Low, and the Middle (class). ^^

รูปภาพ

 

 

 

 

 

Professor who teaches Economics said that Economics is about … choices that we made.

Hey! Which one should I invest? ><

รูปภาพ

 

 

 

 

 

Tokyo Rainbow lives from Tokyo Domeรูปภาพ

 

 

 

 

 

My simple sweet pain.

รูปภาพ

 

 

 

 

 

Just try to balance a top crop and leopard skirt.

รูปภาพ

 

 

 

 

 

Hello LOVE. ^^

รูปภาพ

 

 

 

 

 

Ahn, my classmate, is giving a moving speech in the Matriculation Ceremony.

รูปภาพ

 

 

 

 

 

Standing formal with Hoa, my classmate, in front of Todai’s famous red gate.

รูปภาพ

 

 

 

 

 

The Kids Are Alright. (Just don’t grow up, Kiddos!!!)

รูปภาพ

 

 

 

 

 

Study hard? … No way. ^^ My default mode is stupid and foolish (and most of the time busy trying to be lazy :D)

รูปภาพ

 

 

 

 

 

Random and then found! The love of my (teenage) life.

รูปภาพ

 

 

 

 

 

Order Kilimanjaro Espresso at Yanaka Coffee (one of the best!) and then ask for sugar and milk.
Hey! I am stupid, I know. Coffee lovers should not destroy Espresso that way I have just done. ><”

รูปภาพ

 

 

 

 

 

And I will finish the week with these … stuffs.
Hey! I just want to be nice with Capitalist-Liberal Society!!!

รูปภาพ

[a week in photos] Last week of September 2013

Finally, it is the last week of sweet September! And official Autumn is here. Tons of things happened this week, including moving to new room, congratulating for those who graduated, celebrating with good food, meeting with a childhood friend, and shopping for Autumn (yeah :D).

None of these includes “Studying”. Totally me.

 

 

 

 

Autumn is officially here. Hello. Please be kind to me.

รูปภาพ

 

 

 

 

New Fav! Charcott Loose Powder & Revlon Concealer.

รูปภาพ

 

 

 

 

Life is fun. Let’s play.

รูปภาพ

 

 

 

 

Throwback Thursday.

My mom has a retirement party on this Thursday. Miss her so much.

รูปภาพ

 

 

 

 

Tokyo Rain is a sweet pain.

รูปภาพ

 

 

 

 

Doing a middle-class ritual 😀

รูปภาพ

 

 

 

 

Cooking one of most famous Thai food; Tom Yum Kung (Spicy Soup with Shrimp).
I am the queen of the kitchen!

รูปภาพ

 

 

 

 

Congratulations for those who graduated this year. You deserve this.

993699_665545066789891_2108283639_n

รูปภาพ

 

 

 

 

Welcome and Goodbye (for those who graduated) party at Sanjo Hall.
From here we can see the American football boys practicing. Nice View!

รูปภาพ

 

 

 

 

I love party that offers me the free food.

Happy meal!!!

รูปภาพ

 

 

 

 

Meeting a childhood friend, Mod, and her super handsome son.

รูปภาพ

 

 

 

 

with an insanely-good-looking Makung. Wanna steal him.

รูปภาพ

 

 

 

 

Moved out from Sakura House to the new room on the end of Sep. Thanks for treating so well.

รูปภาพ

 

 

 

 

In front of the new house, there is a shrine.

รูปภาพ

 

 

 

 

Home for the next two years. Love it already.

รูปภาพ

 

 

 

 

And finally,

Autumn  (and Winter) survival kits: Love means never say sorry (that you bought them all).

รูปภาพ

Vietnam in my (cynical) eyes : “Do you believe in Destiny?”

I wrote this journal with broken English since 2006. Long time ago.
At that time, my best friend did not feel satisfied to reveal who she is (may be she still not satisfies these days), therefore I just could not type her name on it.
But this story is (was) 100% true.

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

Vietnam in my (cynical) eyes : “Do you believe in Destiny?”

After got back home from “the 20 days trip”, it seemed like everyone I know in the world had just only one question to ask; “How’s your Vietnam trip?”.

Frankly, I think my trip was really great, cool, awesome, and fun. But I don’t know why I couldn’t give them those words at that time.

Maybe it’s because at that moment I got just the only word popped up in mind.

“Destiny”

Yes, all the word I can think of when talking about my Vietnam trip is just “Destiny”.

Plus the question;Do you believe in destiny?”.

It happened like this…. Just like this…

I got a friend – one best friend who, at the moment, is falling in love with an exchange student guy from America.

They met on May, in a master degree research, and at the end of June the guy went to Laos and Vietnam to travel (and then he’ll go back home – America).

“That’s it” I thought.

But my friend didn’t think that way.

After she heard about my Vietnam trip on July, she asked me to join the trip, and started to create her possibility in life

(or actually .. in love J)

“It can be (and we can meet).” She said.

So the trip started…..

We (my friend and I) planed to go to Hanoi-Vietnam together on July 05th. Unluckily, on that day she got a master degree class so we had to separate.

 I went to Hanoi with an afternoon plane, while she caught a night flight.

The first separate, leads to the second. After considering all the problems that will happen because of different flight, we agreed to stay in different hotel on July 05th, and we will meet on July 06th morning.

Her hotel on the 05th of July night is “Little Hanoi Hotel

(and please don’t care what’s mine, it’s not important to this story J).

And the morning of July 06th came, I woke up and walked from my hotel to my friend’s.

…And there he was, the man of my friend’s dream,

he sat there at “Little Hanoi Hotel” ‘s lobby, playing internet.

“He knows my friend live here, and comes to see her.” I thought.

Because of I don’t know him (and he doesn’t know me too), I decided not to say hello, so I just walked pass him and went up to my friend’s room.

And she’s not there.

According to friends who shared the room with her, my friend woke up early and she just decided to go for a walk.

“OK, she let the guy waits.” It’s an another thought of mine.J

Missing to see my friend in that July 06th morning, I decided to go out town, to Halong bay, and I thought I would come back to see her in the evening.

 

And when I came back, there she was, standing in her room with plenty-sparkling eyes.

Then she asked; “Do you believe in destiny?”

Oh dear, it’s tough question for me. I better didn’t answer.

“But I do believe.” She said.

And then, the story came.

The most hearth-warming and inspiring story I’ve ever met in Vietnam.

My friend told that in the morning (July 06th ) after I left her hotel, she returned and met someone was sitting there in the lobby.

Her guy.

She was really surprised, and so was he, because they didn’t email to tell each other to make any appointment, which means they didn’t even know each of them would be in Hanoi at that time.

And the more surprisingly part was, last night; on July 05th , they stayed at the same hotel.

“And not just that.” She revealed.

“Actually, he planed to left Hanoi on July 06th, and at the time I met him , he’s just waiting for his rental motorbike. All this means if we didn’t meet at this morning (July 06th), we’ll never know that we lived in the same hotel and we absolutely will never met.”

Oh my God!

What! What! What! What!

….. I said to myself silently.

“Are all this mean,

last (July 5th) night, they stayed at the same hotel and they didn’t know that another of them was there,

in the same Little Hanoi?”

What happened?……….

It’s her first night in Hanoi, and in contrary, it’s his last night.

The guy planed to leave Hanoi on July 06th, while the girl planed to start her trip.

There were so many things in the world that can make them to can’t meet on that day.

What if he didn’t like Hanoi enough, and left before she came?

What if she didn’t stay at “that Hotel”?

What if he didn’t like the Hotel receptionist and chose not to stay there?

What if she woke up in early morning and left hotel to travel around town before he woke up?

What if… what if …what if … what if ?

There are so many “what if” for me.

Same as there are so many questions.

“How can they meet, while there are more than a hundred hotels in Hanoi?”

“Why did he choose that Hotel?”

“And why did her choose to come to Hanoi on that day even in the morning she got a master degree class to attend?”

There are so many reasons in this world that can make them apart and can’t see each other that day.

But finally they met.

….

They smiled.

……

And they hugged.

I don’t really know what you all will feel after hearing this story. But for me, I suddenly had a question;

“Is this Destiny?”

“Were they destined to meet on that day –July 06th?”

God only knows, maybe.

……………………

Listening a story from friend made me think about myself;

“What’s about me?”

Where’s my destiny?”

“Is he still alive, or for worse, does he even exist?”

And then I realize, maybe I have already met him,

in Vietnam.

My Destiny. 🙂

A younger Harry Potter 🙂

I met him on the train from Hanoi to Hue 🙂
Is he cute?
Ha ha…

ผู้คน….ความเพ้อฝัน…และเรื่องเล่าไร้สาระของโลกหลายมุม

I wrote this article in 2009, very long ago. T-T

เขียนไว้ตั้งแต่ พ.ศ.2552  …​ นานมากแล้ว

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

 

 

 

 

ซูจิน

ฉันพบซูจินครั้งแรกที่ร้านอาหารมังสาวิรัติแห่งหนึ่ง ในย่านสยามสแควร์ มันเป็นวันที่ 1 ธันวาคม ปี พ.ศ. 2550 ในวันที่กรุงเทพฯ อากาศหนาวเย็น … ฉันใส่เสื้อสเวตเตอร์สีฟ้าหนานุ่มที่ซื้อมาจากอเมริกา ส่วนซูจินสวมกางเกงยีน และใส่เสื้อสายเดี่ยวสีดำ เธอมีผ้าคลุมลายสวยห่มคลุมร่างกายท่อนบนไว้ … จริงๆ ไม่ใช่แค่ผ้าคลุมที่มีลายสวย ซูจินก็ยังนับเป็นผู้หญิงเกาหลีใต้ที่สวยด้วย

วันนั้นเป็นการพบกันครั้งแรกของเรา … แต่เราคุยกันหลากหลายเรื่องราวมาก ฉันถามเธอว่าทำไมเธอถึงเลือกบินมาฝึกงานกับ UN ที่เมืองไทย, เธอคิดอย่างไรกับสถานการณ์รุนแรงในภาคใต้ของเมืองไทย, ทำไมเธอถึงสนใจที่จะทำงานเกี่ยวกับผู้อพยพชาวพม่าในเมืองไทย, รวมถึง ทำไมผู้หญิงเกาหลีใต้อย่างเธอ ถึงเลือกไปเรียนต่อปริญญาโทที่ญี่ปุ่น

ในขณะเดียวกัน เธอก็ถามคำถามที่หลากหลายกับฉันด้วย นอกจากประเด็นเรื่องหนักๆ เรายังแวะพักออกทะเลไปคุยกันเรื่องวัฒนธรรมเกาหลีที่กำลังเริ่มแทรกซึมไปทั่วเอเชีย ชื่อของแบยองจุน, วอนบิน, เรน, แม้กระทั่ง กอล์ฟ-ไมค์ เริ่มโผล่เข้ามาปะปนกับชื่อของ ฮารูกิ มูราคามิ, ทักษิณ ชินวัตร, ชื่อขององค์ดาไลลามะ, หรือแม้กระทั่งชื่อของแม่ชีเทเรซ่า ได้อย่างกลมกลืนเป็นอย่างยิ่ง

น่าเสียดายที่ในตอนนั้น “ทงบังชินกิ” ยังไม่ได้เข้ามาสู่โลกของฉัน …. เราเลยไม่ได้ยกชื่อนี้เข้ามาในวงสนทนาด้วย

 

 

 

 

สันติภาพมีอยู่จริงไหม?

ประเด็นหนึ่งที่ฉันสนใจเกี่ยวกับ ซูจิน ก็คือ ประเด็นที่เธอเลือกเรียนที่มหาวิทยาลัยในญี่ปุ่น … ฉันถามเธอว่า ทำไมคนที่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษดีอย่างเธอ ถึงไม่เลือกไปเรียนต่อที่อเมริกา หรือว่ายุโรป เธอบอกว่า นอกจากเรื่องทุนการศึกษาที่มหาวิทยาลัยญี่ปุ่นเสนอให้เธอแล้ว สาขาที่เธอสนใจก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้เธอเลือกเรียนที่ดินแดนอาทิตย์อุทัย

สาขาที่เธอสนใจจริงจัง คือ Conflict Study
แต่เธอไม่ได้เรียนสาขานี้ในระดับปริญญาโทหรอก เพราะมหาวิทยาลัยที่ให้ทุนไม่มีสาขานี้เปิดสอน เธอเลยเลือกเรียนด้าน Peace Study ซึ่งเป็นเหมือนขั้วตรงข้ามที่ใช้ทดแทนกันได้แทน

ฉันถามซูจินไปว่า “ขั้นตอนที่จะนำไปสู่สันติภาพอย่างยั่งยืนถาวร” มีอยู่จริงไหม? ผู้หญิงที่สนใจในประเด็น “ความขัดแย้ง หรือ conflict” เช่นเธอ เลือกตอบว่า มันอาจจะดูมองไม่เห็นทาง แต่เธอก็หวังว่ามันจะมีอยู่จริง

แม้จะรู้ว่ามันยาก …. เพราะทุกวันนี้มองไปทางไหน เราก็มักพบเจอกับ “ความขัดแย้ง” มากกว่า “สันติภาพ” อยู่เสมอ

แต่เธอก็มีความหวัง

และนั่นคงเป็นสิ่งที่เราทุกคนควรจะมี … ใช่ไหม?

 

 

 

ปัญญาชนเอ็นจีโอ

ฉันเจอกับซูจินอีกครั้งที่สนามบินสุวรรณภูมิ ในช่วงที่เธอบินมาใช้เวลาฉลอง “ฮันนีมูน” ที่ค่ายผู้อพยพชาวพม่า อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เราพบเจอและพูดคุยกันในร้านอาหารแห่งหนึ่ง ก่อนที่เธอและสามีชาวญี่ปุ่นจะบินกลับไปญี่ปุ่น ประมาณ 2 ชั่วโมง

หลังเรียนจบปริญญาโท และฝึกงานที่ UN สาขาเมืองไทยเสร็จสิ้น ซูจินซึ่งเป็นปัญญาชนสาวสวย เลือกก้าวเดินต่อไปในสายงานด้านเอ็นจีโอที่ประเทศญี่ปุ่น … ฉันจำรายละเอียดไม่ได้ว่าเธอทำงานเกี่ยวกับด้านไหนเป็นพิเศษ แต่ถ้าไม่เลอะเลือนเกินไปนัก ฉันว่ามันเป็นประเด็นเกี่ยวกับผู้อพยพชาวจีน และเกาหลีเหนือในญี่ปุ่น

ดูเหมือนว่า เธอจะสนใจประเด็นเกี่ยวกับผู้อพยพเป็นพิเศษ

เราได้พูดคุยกันเรื่องการใช้ชีวิตในฐานะเอ็นจีโอของเธอที่ญี่ปุ่น – หนึ่งในประเทศมหาอำนาจของโลก ที่ให้ทุนสนับสนุนเกี่ยวกับการพัฒนาสังคมในภูมิภาคต่างๆ เป็นเม็ดเงินมหาศาล – เธอบอกว่า ถึงเธอจะเป็นเอ็นจีโอในประเทศที่จัดได้ว่ารวยอันดับต้นๆ ของโลก แต่รายได้ของเธอไม่ได้เยอะมากพอจะทำให้เธอใช้ชีวิตแบบชนชั้นกลางสมัยใหม่ได้อย่างสุขสบายนัก

อาจเพราะที่ญี่ปุ่น ค่าครองชีพสูงกว่าที่เมืองไทยมาก เธอบอกว่า ถ้าเธอมีรายรับอย่างที่ได้ในทุกวันนี้ แต่ย้ายมาทำงานที่เมืองไทยแทน เธอจะกลายเป็นคนรวยไปได้ง่ายๆ เลยทีเดียว

 

 

 

 

ฟิล

ฉันเจอฟิลครั้งแรก ในอำเภอเล็กๆ แห่งหนึ่งของจังหวัดกาฬสินธ์ เมื่อปลายปี 2549 ฟิลก็ไม่ต่างกับซูจิน คืออายุน้อยกว่าฉัน 2 ปี … แต่ 2 สิ่งที่ทำให้ฟิลแตกต่างออกไปคือ ฟิลเป็นผู้ชาย และฟิลเป็นคนอเมริกัน

ฟิลเดินทางมาเมืองไทยครั้งแรกจากโปรแกรมแลกเปลี่ยนอะไรสักอย่างที่เขาได้รับในช่วงเรียนมหาวิทยาลัยที่วิสคอนซิล เขาเลือกใช้เวลา “แลกเปลี่ยน” แสนประทับใจครั้งนั้นที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น ฉันลืมถามเขาไปว่าทำไมเขาเลือกที่นั่น แทนที่จะเลือกมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ หรือเมืองสวยๆ อย่างเชียงใหม่

ที่ขอนแก่น ฟิลได้รู้จักและมีมิตรภาพที่ดีกับเพื่อนสนิทในวัยมัธยมของฉัน นั่นเป็นเหตุผลที่เชื่อมโยงให้เราได้พบเจอ และ “แลกเปลี่ยน” ความเห็นกันในที่สุด

หลังจากจบโปรแกรมที่ฟิลมาในครั้งแรก หลังเรียนระดับปริญญาตรีด้านรัฐศาสตร์สำเร็จ ฟิลเลือกเดินทางมาทำงานและใช้ชีวิตอยู่ที่ขอนแก่น ในช่วงที่ฉันเจอเขาที่อำเภอเล็กๆ ในจังหวัดกาฬสินธุ์ ฉันพบเขาในฐานะ “ไอ้หนุ่ม อบต.” ที่มาขอฝึกงานกับนายกขององค์การบริหารส่วนตำบล เขาบอกว่า เขาเคยอ่านเจอประวัติของนายก อบต. คนนี้แล้วมีความศรัทธาในแนวทางการบริหารและพัฒนาชุมชน เขาจึงเลือกเดินทางมาเพื่อขอเรียนรู้จากตำบล และอำเภอแห่งนี้

ครั้งหลังๆ ที่ได้พูดคุยกัน ฟิลเคยบอกฉันว่า เขาชื่นชมแนวคิด “เศรษฐกิจพอเพียง” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ของไทยมาก นั่นเป็นเหตุผลหลักจริงๆ ที่ทำให้เขาละทิ้งเงินเดือนหลักดอลล่าร์ มารับเงินเดือนหลักบาท (ที่ได้รับไม่มากมาย) ที่ประเทศไทย แถมเขายังเสริมด้วยว่า เขาอยากใช้ชีวิตเป็นชาวนาที่อยู่กินอย่างพอเพียง

ฟิลถามฉันว่า ทำไมฉันไม่กลับมาทำงานที่บ้านเกิด?
ฉันไม่ได้อึ้งจนตอบคำถามเขาไม่ได้หรอก…. แต่ฉันก็ถามเขากลับไปเหมือนกันว่า
แล้วทำไมฟิลถึงไม่อยู่อเมริกาล่ะ?

 

 

 

 

เจดี

ฉันเจอกับเจดีครั้งแรก ในวันที่ 27 มีนาคม 2546 มันเป็นช่วงบ่ายแก่ๆ ของฤดูใบไม้ผลิ ที่เมืองสปริงเดล รัฐยูท่าห์ อเมริกา เราเดินสวนกัน แต่เราไม่ได้พูดคุยกันเลยในวันนั้น

ฉันได้เริ่มต้นพูดคุยอย่างจริงจังกับเจดีครั้งแรกเมื่อไหร่ไม่รู้ จำได้เลาๆ ว่ามันเป็นย่ำค่ำของคืนวันหนึ่ง เขาเดินมาแนะนำตัวบอกว่าชื่อเจดี ฉันบอกว่าชื่อของเขาออกเสียงคล้ายๆ กับโบราณสถานที่ชาวพุทธนับถือ เขาบอกว่า เขาเองก็นับถือพุทธ และเคยบวชมาแล้ว 4 ปี

ตอนที่เขาพูดเรื่องการบวช มือของเขาถือกระป๋องเบียร์ยี่ห้อ Bush ของอเมริกา ไว้ด้วย

ในวันเวลาที่สนิทสนมกัน ไอ้หนุ่มอดีตนักบวชได้เล่าให้ฟังถึงความใฝ่ฝันของเขาว่า เขาอยากทำให้โลกนี้สงบสุขและปราศจากสงคราม ฉันถามเขากลับไปอย่างตรงไปตรงมาว่า คนหนุ่มที่หนีออกจากบ้านในวัย 16 ปี เรียนไม่จบชั้นไฮสคูล จะเอาอะไรไปต่อสู้กับนโยบายกระหายสงครามของบุชผู้ลูก (ซึ่งเป็นผู้นำอเมริกา และเพิ่งจะประกาศสงครามกับอิรักในช่วงต้นปี 2546) ในขณะนั้นได้

เขาตอบกลับมาว่า เขาจะเริ่มต้นที่การทำดีกับทุกคนรอบตัว และคิดว่า นั่นอาจส่งผลสั่นสะเทือนโลกได้

ในตอนนั้น … ฉันในวัย 22 ปี คิดว่าเจดีเพ้อฝันแบบสุดๆ

 

 

 

 

เฮอริเคนแคทาริน่า

ช่วงปี 2548 เฮอริเคนแคทาริน่า พัดเข้าทำลายพื้นที่ทางตอนใต้ของอเมริกา ฉันไม่รู้ว่าเจดีอยู่ไหนในตอนนั้น แต่เขาเคยพูดว่า เขาชอบบรรยากาศของรัฐหลุยส์เซียน่า ซึ่งเป็นรัฐที่เขาบวชเป็นพระในศาสนาพุทธมาก

อยู่ๆ ฉันก็เกิดเป็นห่วงไอ้หนุ่มที่เพ้อฝันสุดๆ ขึ้นมา

แผ่นดินไหวที่เมืองจีน และอิทธิฤทธิ์ของไซโคลนนาร์กีสที่พม่า

ฉันได้เห็นภาพและทราบเรื่องราวของแผ่นดินไหวที่เมืองจีน และพายุไซโคลนนาร์กีสที่พม่า ในปี 2551 ผ่านสื่อมวลชนสำนักต่างๆ … นอกจากประเด็นเรื่องความสูญเสียและการที่ธรรมชาติเอาคืนมนุษย์แล้ว
ฉันยังได้พบเห็นแง่มุมการช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีของเพื่อนร่วมโลกที่ส่งต่อให้กับชาวจีนผู้ประสบภัย
แต่ขณะเดียวกัน ฉันก็ได้พบแง่มุมอันเลวร้าย จากการไม่ใส่ใจใยดีในชะตากรรมของประชาชนของเหล่าผู้นำพม่าด้วย

อยู่ๆ ฉันก็คิดถึง ซูจิน, ฟิล, และเจดี ขึ้นมา

 

 

 

 

โลกหลายมุม

แม้โลกจะเป็นทรงกลม …. แต่โลกก็มีหลายเหลี่ยมมุมให้เราค้นพบ
ฉันไม่มีบทสรุปของเรื่องเล่าในวันนี้
รวมถึงไม่ชัดเจนนัก ว่าตัวเองต้องการสื่อสารอะไร?

ฉันอาจอยู่ในช่วงที่กำลังตั้งคำถามกับโลกและผู้คน
อยู่ในช่วงที่แสวงหาความหวังให้กับสันติภาพ
อยู่ในระหว่างทางเดิน ที่จะผสาน “ความเพ้อฝันของเจดี”, “ความใฝ่ฝันของฟิล”, “อุดมคติของซูจิน” และ “โลกที่ถูกขับเคลื่อนด้วยทุนนิยม” เข้าด้วยกัน

ฉันไม่รู้ว่าท้ายที่สุด ตัวเองจะได้ไปยืนอยู่ ณ มุมไหนของโลก
มันจะเป็นมุมเดียวกับที่ซูจิน, ฟิล, หรือเจดี เลือกเดินหรือไม่?
มันยังเป็นเรื่องท้าทายที่ฉันยังคงต้องหาคำตอบต่อไป

ไม่ว่าคำตอบนั้นจะมีอยู่จริงหรือไม่….ก็ตามที

เรื่องของเช และการเดินทางของเบน

เรื่องของเช และการเดินทางของเบน

เขียนเรื่องนี้ไว้นานมากแล้ว พอดีเมื่อวานเคลียร์งานในคอมพิวเตอร์ เจอบทความนี้ เลยขอเอามาลงไว้
ทุกวันนี้ เพื่อนชื่อเบนคนนี้ ทำงานเป็นหมอที่นิวยอร์ก จบเอกด้านแพทย์ ที่ Columbia University ที่นิวยอร์ก แล้ว (ไฮโซมากๆ แตกต่างกับชีวิตของชั้นลิบลับเลย:)

***************************************


เรื่องของเช และการเดินทางของเบน

1.
ฉันรู้จักเบนครั้งแรกในเย็นย่ำวันหนึ่ง เมื่อเจ้าเพื่อนสาวคนสนิทลากตัวฉันไปแอบดูผู้ชายที่กำลังวุ่นวายกับเครื่องซักผ้าแบบหยอดเหรียญ… สถานที่ที่ฉันเจอเบนคือที่ประเทศไทย ต้นฤดูฝน ปี 2545

“ดูนั่นสิ น่ารักดีเนอะ” เพื่อนสาวพูดอย่างนี้

เบนในวันนั้นที่ฉันเจอ คือคนหนุ่มตัวซีดขาว ผมทอง ตาสีฟ้า ใส่หมวกแก็ปปิดบังดวงหน้า กำลังเปิดพลิกหนังสืออ่านขณะนั่งรอเจ้าเครื่องปั่นผ้าทำงานเสร็จ

ดูเป็นคนหนุ่มที่เอาจริงเอาจัง และคล้ายจะเป็นนักเดินทางผู้แสวงหาปรัชญาบางอย่าง….

เบนในวันถัดมาที่ฉันได้รู้จักเมื่อเราเอ่ยปากทักทายกัน คือเบนที่เป็นนักศึกษาวิชาเคมี จากวิสเคาซิล อเมริกา ผู้เดินทางมาทำวิจัยไกลถึงเมืองไทย…

และ “ไอเป็นคนหัวงู…ชอบดูหนังโป๊…ดื่มเบียร์เป็นชีวิตจิตใจ” คือประโยคที่เบนบรรยายตัวเอง

เบนชอบพูดอย่างนี้อยู่บ่อยๆ จนในที่สุด ฉันก็ลืมไปแล้วว่าครั้งนึงฉันเคยคิดว่าเบนเป็นคนจริงจัง และเต็มไปด้วยความฝันว่าจะทำให้โลกดีขึ้น

ตอนนั้นก้อนความคิดที่เกี่ยวกับเบนมีเพียงว่า เบนเป็นชายหนุ่มธรรมดาที่ดูขี้เล่น..
และชอบดูหนังโป๊เท่านั้น…

ปลายหน้าฝน ปี 2545 เบนกลับบ้าน และสิ่งไม่มีชีวิตที่เรียกว่าเวลา ก็ได้ทำหน้าที่ของมัน—หมุนเวียนเปลี่ยนผันฤดูกาล—จนผ่านมา 3 ปี
เป็นปี 2548

ฉันไม่ได้ติดต่อกับเบนอีก สิ่งที่รู้คร่าวๆ หลังการบินกลับอเมริกาของเขาคือ เบนได้ทุนปริญญาโทจาก UCLA และศึกษาต่อในสายเคมีเช่นเดิม

เป็นความจริงที่ว่า เมื่อเราไม่ได้ติดต่อกับใครนานๆ และเมื่อชีวิตเปลี่ยนจากสภาพนิสิต/นักศึกษามาเป็นคนทำงาน ที่ต้องมีเรื่องรับผิดชอบมากมาย มีบิลค่าไฟ ค่าน้ำ ให้จ่ายทุกเดือน เราก็พาลจะหลงลืมใครในชีวิตไปได้ง่ายๆ เสียอย่างนั้น

เช่นกัน ฉันลืมเพื่อนชื่อเบนไปแล้ว

จนวันนึง เพื่อนสาวคนนึงได้ส่งฟอเวิร์ดเมล์เกี่ยวกับการเดินทางของใครคนหนึ่งมาให้
มันเป็นการเดินทางของผู้ชายชื่อเบน

2.

เมื่อ 13 ธันวาคม 2547 ผู้ชายชื่อเบนได้ตัดสินใจปั่นจักรยาน ณ ดินแดนอเมริกาใต้ลำพังคนเดียว เพื่อรวบรวมเงินบริจาคมอบแด่ The Los Angeles Free Clinic คลินิคที่ทำงานด้านโรคเอดส์ เบนเรียกการเดินทางครั้งนี้ว่า Bike For HIV

2,500 $ คือเป้าหมายที่ตั้งไว้ แต่ 1,500 $ คือที่เบนทำได้ภายในระยะเวลา 2 เดือนในการปั่น

เบนจำเป็นต้องยุติการเดินทางไว้แค่จาก ซานติโก-ชิลี ถึง ควิโต-เอกวาดอร์ เท่านั้น ไม่ใช่เพราะกำลังใจทดท้อ หรือทนความยากลำบากในประเทศโลกกำลังพัฒนาไม่ไหว

แต่เพราะเขาต้องกลับไปสัมภาษณ์เพื่อเข้าศึกษาต่อยัง Medical School

ใช่แล้ว ผู้ชายคนหนึ่งที่เคยแสดงออกให้ใครต่อใครรับรู้ว่า เป็นตาเบนหัวงู และชอบดูหนังโป๊ กำลังตัดสินใจพาตัวเองเข้าสู่อาชีพที่นับได้ว่าเสียสละมากอาชีพหนึ่ง…

ในเว็บไซต์ที่เบนทำขึ้นระหว่างการเดินทางของเขา บอกให้เรารับรู้ว่า แรงบันดาลใจสำคัญส่วนหนึ่งของเบนมาจาก ภาพยนตร์เรื่อง Motorcycle Diaries ที่ว่าด้วยการเดินทางของ เออร์เนสโต ฟูเซอร์ เกเวรา ในวัย 23 ปี ที่ตัดสินใจบิดมอเตอร์ไซค์ออกไปเพื่อให้ได้ “เห็น” และ “รู้จัก” ทวีปถิ่นเกิดด้วยตาของตัวเอง ก่อนที่การเดินทางครั้งนั้นจะได้เปลี่ยนให้เขากลายเป็น เช เกเวรา นักปฏิวัติคนสำคัญของโลก

ก่อนหน้าที่จะได้ดู Motorcycle Diaries ฉันเคยได้ยินและผ่านตาชื่อของผู้ชายคนนี้มาบ้าง รู้ว่าเช เป็นนักปฏิวัติ
แต่ไม่เคยรู้ว่าเขาเป็นคนชาติไหน,
เพราะอะไรถึงหันมาปฏิวัติแบบกองโจร,
และไม่เคยรู้ว่า วันที่เช จากโลกไป มีใครเสียใจบ้าง

และแม้กระทั่งเมื่อดูหนังเรื่องนี้จบ ฉันก็ยังไม่ได้รู้สึกว่าเช เกเวรา เป็นฮีโร่

ภาพยนตร์เรื่องที่ดู ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกอย่างนั้น
แต่มันทำให้เราอยากใช้ชีวิตส่วนหนึ่งออกเดินทาง ..และถ้ามีเวลา ก็อยากทำอะไรบางอย่างบ้าง..เพื่อโลก

แต่การที่จะปลดเปลื้องพันธนาการของคนทุกข์ยากที่มีมากกว่า 80% ของประชากรหกพันล้านบนโลกมันไม่ใช่เรื่องง่าย

เรื่องบางอย่างมันคงเป็นได้แค่ความฝัน
และฝันบางฝันดำรงชีพได้แค่ในโรงหนัง
เช เกเวราตายแล้ว…
คนในโลกทุนนิยมอย่างเราคงไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้
จนกระทั่งฉันพบภาพระหว่างการเดินทางของเบน

3.

ว่ากันตามตรงการเดินทางกว่า 3 พันไมล์ของเบนไม่ใช่การเดินทางโดยมีจุดประสงค์เพื่อแบ่งเบาความทุกข์ยากของคนในละตินอเมริกาแม้แต่น้อย

เบนคือนักศึกษาปริญญาโทวิชาเคมี ไม่ใช่มิชชันนารี!
แต่เบนตัดสินใจออกเดินทางปั่นจักรยานไปอเมริกาใต้ด้วยเหตุผลที่ไม่ต่างกับเออร์เนสโต เกเวรา

ออกเดินทางเพื่อจะได้เห็นโลก…
เพื่อที่จะได้ค้นพบว่า ตัวเองสามารถทำอะไรแก่โลกและผู้คนได้บ้าง

และถึงวันนี้ เส้นทางที่เบนเลือกเดิน ก็ทำให้เราได้รู้แล้วว่า เบนเลือกที่จะทำอะไรแก่โลกด้วยวิธีไหน
เลือกอาชีพอะไรในการช่วยผู้คน
อาจแตกต่างกับวิธีที่เช เลือกใช้
แต่ในจุดหมายมันคือสิ่งเดียวกัน

ภาพของเบนในเว็บไซต์ที่ปรากฏ แสดงให้เห็นว่า เวลา 3 ปี ได้เพิ่มริ้วรอยให้แก่ชีวิตคนแค่ไหน
แน่หละ เมื่อเวลาเปลี่ยนไปเราก็จะโตขึ้น
เบนเติบโตขึ้น..ไม่ใช่เพราะว่าหน้าตาที่มีริ้วรอยปรากฏ
แต่เป็นการเติบโตที่เกิดขึ้นภายในต่างหาก…

ครั้งนึงในปี 1952 เออร์เนสโต เกเวราได้เติบโต

เบน บีเยอร์ก โครลล์ กำลังเติบโตและคิดทำอะไรเพื่อโลกบ้าง

สำหรับฉันรู้สึกว่าตัวเองโตขึ้นเมื่อได้อ่านการเดินทางของเบน

…เพราะได้รู้แล้วว่า เรายังมีคุณค่า และสามารถทำอะไรให้แก่โลกได้เสมอ
ทุกวินาที..

ถ้าแค่เราจะอยากทำ…