[status] 2015.06.14

[เพ้อเจ้อ]

เมื่อเดือนก่อนมีมิตรสหายท่านหนึ่งขอให้ช่วยอัดคลิปเรื่องความทรงจำในโตเกียว/ญี่ปุ่น ก็รอให้หมดฤดูกาลวุ่นวายเปเปอร์ก่อน เลยได้ฤกษ์อัด ทีนี้เดือนมิถุนายนเป็นหน้าฝนของญี่ปุ่น ฝนก็ตกวันเว้นวัน จะอัดคลิปก็ยาก มีวันก่อน อากาศดี เลยติดต่อผ่านไลน์ให้คลาสเมทมาช่วยถือกล้องถ่ายคลิปตอนเรายืนพูดหน้าสถานที่อันเป็นความทรงจำนั้น แต่ทว่าติดต่อไปหลายคนมาก ก็บอกว่าไม่ว่าง ไ่ม่สามารถมาได้ เราก็เข้าใจแหละ เพราะติดต่อกระชั้นชิดมาก ใครเขาจะว่างให้แก

เลยตัดสินใจไปคณะ ไปเสี่ยงดวงเอา ก็ไปเปิดดูทุกห้อง study room ไม่เจอคนรู้จักที่คิดว่าจะขอให้เขาเดิน (ทาง) ไปกับเรา เพื่อถ่ายคลิปได้เลย ก็นั่งหงอยๆ ตรง common room ถอนหายใจไปสิบแปดเฮือก แล้วนานามิจังก็เดินเข้ามา!!!

ติ๊กต่อกก็ทำหน้าดีใจมาก จำได้ว่านานามิจังพักอยู่แถวๆ สถานที่ที่เราอยากจะถ่ายคลิป แต่ประเด็นคือนางเพิ่งมาถึงคณะเลย จะให้นางออกไปตอนนี้นี่นะ แต่ก็ลองเสี่ยงถามดู ปรากฏว่านางตอบตกลง … อึ้งมาก เด็กฟิลิปปินส์ที่อยู่ในห้องคอมมอนรูมก็ยังบอกเลยว่า nice try (โอกาสเป็นของคนที่กล้าเอ่ยปากถามครับ)

ก็เลยนั่งรถไฟและเดินต่อไปที่สถานที่นั้น ระหว่างทางก็เลยได้คุยกับนานามิจังหลายเรื่อง คือปกติก็คุยอยู่แล้ว แต่ไม่ได้ลงรายละเอียดลึก ทีนี้ก็ถามนั่นถามนี่ไปหลายอย่าง จนถ่ายคลิปเสร็จ ก็ชวนกินข้าวเย็น เพราะรู้สึกว่ารบกวนนางเยอะมาก นางเสียเวลาอ่านหนังสือมาถ่ายคลิปให้เรา พอกินข้าวเสร็จ นางก็ชวนว่าไปกินกาแฟที่ห้องนางไหม นางได้กาแฟมาใหม่ บลาๆ ก็ได้ไปเยือนห้องนาง

นางมาจากภูมิภาคคันไซ เมืองนารา นางมีฝาแฝด เป็นแฝดพี่(สาว) ที่เก่งกว่านางหลายอย่าง นางบอกว่ารู้สึกว่าพี่สาวทำอะไรก็คล่องแคล่วไปเสียหมด แต่นางจะออกแนว introvert ก็คุยกันหลายเรื่อง ทั้งเรื่องที่ว่าได้เรียนรู้อะไรจากคณะบ้าง จุดแข็งจุดอ่อนของตัวเอง สิ่งที่ตั้งใจไว้หลังเรียนจบ สิ่งที่อยากเป็น อยากรู้สึก อยากค้นพบในโลกศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดใบนี้

นานามิจังเพิ่งอายุยี่สิบต้นๆ เอง นางเป็นคนที่พอรู้เรื่อง LGBT ก็จะตื่นเต้นมาก อยากรู้ว่าเพื่อนคนญี่ปุ่นที่เป็น LGBT เป็นยังไง นางไม่ได้แอนตี้ แต่แค่ไม่เคยรู้มาก่อน ก็พร้อมเรียนรู้ นางใช้เวลาว่างหัดเรียนภาษาฝรั่งเศส นางอยากเข้ากระทรวงต่างประเทศของญี่ปุ่น นางชอบเขียนบทกลอน มีบางคลาสที่นางทำได้ไม่ดี แต่บางคลาสนางก็พรีเซนต์ได้ยอดเยี่ยมนะ เด็กไลบีเรียที่ชื่อเอสเตอร์ยังเคยชมนางเลย (ปกติเอสเตอร์ไม่ค่อยชมใครฮ่ะ)

รู้สึกว่าเด็ก generation ใหม่ๆ ยี่สิบต้นๆ เป็นคนอีกยุคหนึ่งที่ให้แรงบันดาลใจได้ดีมาก พวกเขายังเต็มไปด้วยพลัง ความฝันถึงโลกที่ดีกว่า พวกเขาอยากแก้ปัญหาความขัดแย้งที่มีอยู่หลายๆ แห่งในโลก ในเอเชียตะวันออกระหว่างเกาหลีใต้ จีน ญี่ปุ่น …หรือแม้กระทั่งเด็กรุ่นใหม่ในไทย พวกเขาเติบโตมากับยุคสมัยและค่านิยมที่แตกต่างกันกับรุ่นสามสิบซัมติงอย่างพวกเรามาก ถึงคนจะชอบพูดว่า “เด็กสมัยนี้นะ…” แต่เราว่า เด็กรุ่นที่เด็กกว่าเราแค่สิบกว่าปีนี่ จริงๆ แล้วพวกเขาคือ “ความเปลี่ยนแปลง” หรือ change ตัวจริงมากกว่ารุ่นเราเสียอีก

คุยกับเพื่อนวัยสามสิบซัมติงกันวันก่อน เรารู้สึกว่า รุ่นเราคือ hopeless generation ไม่รู้เป็นคำที่แรงไปไหม แต่เรารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ เราคือรุ่นกึ่งกลางของความเปลี่ยนแปลง ในวัยเท่านี้ หลาย “เรา” ล้วนเสถียร จบการศึกษาในสถาบันที่ได้ชื่อว่าดี มีทรัพยาการบางอย่างที่ต้องหวงแหน มีเรื่องส่วนบุคคลที่ต้องปกป้อง จนเราไม่กล้าขยับตัวกันมาก เราบ่นในไลน์กรุ๊ป ไลน์แชท แล้วเราก็หวังว่าจะมีคนอื่นๆ มาช่วยเราเปลี่ยนแปลง

เราหวัง เราฝัน “สักวันน้ำคงไม่ท่วมกรุงเทพฯ แล้ว” …คงมีใครสักคนกลายมาเป็นฮีโร่ แต่ฮีโร่ไม่ได้อยู่ในหมู่พวกเรา

เรื่องมันเริ่มต้นด้วยเพื่อนให้ช่วยอัดคลิปเกี่ยวกับความทรงจำในโตเกียว/ญี่ปุ่น แต่มันลงท้ายด้วยการที่เราได้ใช้เวลาไปกับหญิงสาววัยต้นยี่สิบ พลังของคนรุ่นใหม่อีก generation ที่ต่างจากเรา … ขอบคุณมิตรสหายที่จุดประกายเรื่องอัดคลิป ถ้าไม่มีเรื่องอัดคลิปมา เราคงไม่มีโอกาสได้คุยยาวๆ กับนานามิจัง ได้ไปนั่งกินกาแฟในห้องเธอ ได้รับรู้ความฝันและความหวังของคนที่อาจแตกต่างจาก generation ของเรา

ปล. เพื่อนกลุ่มสามสิบต้นๆ อย่าโกรธเรานะ แต่เราคิดว่า เราเป็น lazy generation กันจริงๆ ซึ่งมันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรหรอก ><

[status] 2015.06.14

“สื่อสารมวลชน”

สัก 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีนิติกรที่ติดตามแวดวงซีรีส์เกาหลี โพสสเตตัสว่า ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ เกาหลีใต้เปลี่ยนระบบลูกขุน/ศาล (เรียกว่าอะไรสักอย่างก็จำไม่ได้) แล้วขณะเดียวกัน ก็ปรากฏว่ามีการปรากฏตัวของซีรีส์เกาหลีหลายชิ้น ที่นำเสนอเรื่องศาล อัยการ ทนายความ โดยสอดคล้องกับระบบแบบใหม่ที่เกิดขึ้น

ละครที่จำได้หลักๆ คือ I Hear Your Voice นำแสดงโดยแฟนเราเอง (?) อีจงซอก

สิ่งนี้ก่อให้เกิดผลอย่างไร มันคือการทำให้ประชาชนทั่วๆ ไป ค่อยๆ ทำความรู้จักและคุ้นเคยกับระบบศาลแบบใหม่ ถึงคนไม่ต้องข้องแวะกับคดีหรือศาล ก็ยังคอยถูกกระตุ้นว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไป

“คนเล่าเรื่อง” หรือสื่อสารมวลชน มีบทบาทอย่างสูงในเรื่องนี้

และ “สื่อสารมวลชน” ในที่นี้อาจรวมถึงคนทำหนังทำละครด้วยเช่นกัน

[status] 2015.06.15

ฟัง TEDxBangkok แล้วชอบหลายอัน แต่อันที่ชอบอันดับต้นๆ คือ
1)เรื่อง digital economy + startup (Startup ทุกเจ้าเป็น SME มาก่อน แต่ไม่ใช่ทุก SME จะเป็น Startup) ของหนุ่มนักบริหาร ookbee

จริงๆ เราอ่านหนังสือและเสพสื่อโดยไม่เคยข้องเกี่ยวกับ ookbee มาก่อน เพิ่งรู้ว่าเขาดังเมื่อไม่นานมานี้เอง เป็น startup ด้านร้านหนังสือออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดของ SEA (โอ้วแม่เจ้า)

ผู้บริหารเป็นหนุ่มแว่น (?) หน้าตาถูกจริต 5555 …
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น เราคงไม่ใช้บริการ ookbee แน่ๆ แต่เราชอบ talk ของเขา เพราะมันสร้างแรงบันดาลใจได้ดีตรงที่ว่า SME ไทยมีกว่าแสนรายขึ้นไป ถ้า SME ไทยสามารถพัฒนาไปเป็น startup (หมายถึง คิดผลิตภัณฑ์ที่ทำซ้ำได้และเติบโตอย่างก้าวกระโดดได้) มันจะก่อให้เกิดตำแหน่งงานและสร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจไทยได้อย่างก้าวกระโดดเช่นกัน …โอ้ คุณพระ ไม่เคยคิดแบบนี้เลย นี่มัน policy analyst มาเองรึเปล่าคะ ><”

2)เรื่อง good walk เมืองเดินได้เดินดี
มีการสำรวจประชากรกรุงเทพฯ พบกว่า เกือบ 70% เป็นกลุ่มไม่ได้พึ่งพาแต่รถยนต์เป็นหลัก และคนจำนวนมากของกรุงเทพฯ ตอบแบบสอบถามว่าพร้อมเดินในระยะ 800 เมตร หรือ 10 นาที จำนวนเกือบเท่าๆ กับชาวญี่ปุ่น (?…ไม่แน่ใจว่าเจ้าของ talk เอารายงานวิจัยชาวญี่ปุ่นมาจากไหน)

แต่คนกรุงเทพฯ พร้อมออกเดิน ถึงเมืองจะเป็นแบบนี้ ก็ยังตอบว่าพร้อมเดิน 10 นาที แต่ถ้าเมืองพัฒนาให้เหมาะกับการเดิน คนกรุงฯ จะยิ่งยอมเดินมากกว่านี้อีก การเดินช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจร้านค้าชุมชนเล็กๆ ด้วย เพราะการเดินหรือการปั่น จะทำให้เข้าถึงจุดเล็กๆ มากกว่าการขับรถ อีกอย่างคือ ใน 12 ปี (มั้ง) คนกรุงเทพฯใช้เวลาเฉลี่ยอยู่ในรถ (เพราะรถติด) ประมาณ 1 ปี … โอ้ คุณพระ (อีกรอบ) มันเยอะมาก

มีหลายๆ เมืองทั่วโลกที่ก้าวจากเมืองที่เต็มไปด้วยมลพิษและไม่น่าเดิน มาสู่เมืองที่เดินได้เดินดี และมีวัฒนธรรมสตรีทแฟชั่นเกิดขึ้น สิ่งที่ดูสิ้นหวังที่กรุงเทพฯจริงๆ ก็ไม่ได้สิ้นหวังหรอก ถ้ามันมีแรงผลักและแรงส่งให้เกิดสิ่งนั้น เริ่มไงดีล่ะ…

คำแนะนำชอง policy analyst ก็คือ….

???

หนูไม่รู้ >< หนูไปวิ่งดีกว่า XD

ปล. ถนนของโตเกียวเป็นถนน (หมายถึงฟุตบาท) ที่วิ่งตอนสามทุ่มได้

[ญี่ปุ่น] โกคอง หรือการนัดเดท

โกคอง (อ่านงี้ไหม) คืออีเวนท์คล้ายๆ หาคู่ เป็นธรรมเนียมที่ชาวญี่ป่นแสนเคยคุ้น มีทั้งแบบแคชช่วล (ตามสะดวก) หน่อย เช่น เพื่อนๆ จัดให้ หรือแบบเป็นทางการ มีผู้จัดอีเวนท์ชัดเจน

ธรรมชาติของโกคอง เท่าที่คนไปร่วมเคยเล่าให้ฟังคือ การนัดชายและหญิงไปให้ครบคู่ เช่นมีชาย 2 ก็ต้องมีหญิง 2 จะเป็นจำนวนที่ให้มีคนเหลือเศษไม่ได้ … ลืมบอกว่าเคสนี้เราเล่าเฉพาะความสัมพันธ์แบบชายหญิงเท่านั้นนะ ไม่ได้ครอบคลุมถึงคู่รักทางเลือก

เวลาจัดโกคอง คนส่วนใหญ่จะรู้มาก่อนว่าตัวเองเข้าร่วม “โกคอง” หมายถึงถ้าเพื่อนนัดให้ คนมาร่วมทุกฝ่ายก็รู้มาก่อน ว่านี่คือการมาคุยแบบทำความรู้จักกัน เพื่อหมายจะก้าวไปไกลกว่านั้น (ถ้าถูกใจกันน่ะนะ) ไม่ใช่นัดแบบ … “แก มากินข้าวด้วยกันสิ มีเพื่อนจะแนะนำให้รู้จัก” อะไรประมาณนี้แบบคนไทยที่ไม่ได้มีรูปแบบที่ชัดเจนตายตัว

เขียนประเด็นนี้ทำไม? ประเด็นคือ พักหลังๆ เจอคนที่พูดว่าจะสมัครเข้าร่วมกิจกรรม “โกคอง” เยอะมาก พวกคลาสเมทนี่แหละ ตั้งแต่หน้าร้อนปีก่อนก็เคยมีคนเข้าร่วม วันก่อนมีชายหนุ่มสี่คนคุยกันเรื่องนี้ ป้าวัยสามสิบต้นๆ ก็นั่งกินข้าวอยู่ในห้องคอมมอนรูม ป้าก็เงยหน้าฟังด้วยความสนใจ (และเสือก)

หนุ่มๆ สนใจไปร่วม “โกคอง อะนิเมชั่น” … ครับท่าน เป็นการนัดหาคู่แบบที่ว่าคนร่วมงานจะต้องมีพื้นความรู้ด้านอะนิเมชั่น พูดสั้นๆ, ต้องเป็นโอตาคุ … โอตาคุฝ่ายชายกับฝ่ายหญิงจะมาคุยกัน ทำความรู้จักกัน แต่มาในนามของ “โกคอง” (คือรู้ว่าแต่ละฝ่ายพร้อมสานต่อความสัมพันธ์ ไม่ใช่นัดมาคุยกันฉันท์คนในแวดวงแต่อย่างใด)

ประเด็นคือ พวกหนุ่มๆ ที่คุยกันเรื่องเหล่านี้ ป้าก็คิดว่าพวกเขาโปรไฟล์ดีกันมาก อย่าให้เล่าเลย… เลยสงสัยว่า ทำไมรอบตัวเรามีแต่คนโสดวะ คือแบบ คนบางคนก็ดูดี ฉลาด หน้าที่การงานดูได้เรื่องได้ราว อนาคตสดใสรออยู่ แต่ก็บ่นว่าไม่มีแฟน เลยจะไป “โกคอง”

เฮ้ย…ป้าไม่ได้ต่อต้านการไปงานพวกนี้นะ และก็ไม่ได้มองว่าคนที่ไปร่วมอะไรแบบนี้แปลกประหลาดด้วย (ป้ายังแอบเข้าไปดูเว็บไซต์มาแล้วเลยXD)

แต่ประเด็นคือ เราแค่ประหลาดใจว่า ทำไมมีแต่คนโสดรอบตัว แต่เขาไม่ได้กันเอง ทำไมคนเราไม่ลงเอยกันง่ายๆ

ว่าแล้วมากรอกใบสมัคร “โกคอง” กันดีกว่าพี่น้อง เฮ้!

[status] 2015.06.16

วันนี้ security studies มีคลาสเกี่ยวกับเรื่อง pandemic พวกโรคติดต่อที่กลายมาเป็น global risk เช่น MERS, SARS, Ebola พวกนี้ เลยไปนั่งซิทอินและถามสามคำถามโปรเฟซเซอร์ตบท้าย โปรเฟซเซอร์เป็นหนุ่มสิงคโปร์ที่ได้รับการศึกษาส่วนใหญ่แบบอังกฤษน่ะนะ เคยสอนที่อังกฤษมาสักพัก

Q1: โปรเฟซเซอร์ว่า พวกโรคระบาดอย่าง SARS หรือ Ebola นี่ จะเป็นสิ่งที่ช่วยสร้างความชอบธรรม และทำให้ผู้มีอำนาจ ใช้อำนาจได้เกินขอบเขตโดยไม่ต้องตรวจสอบได้ไหมคะ?

A1: ในเคสของสิงคโปร์เป็นแบบนั้น เพราะรัฐบาลบอกว่า หน้าที่ของรัฐบาลคือการคุ้มครองประชาชนในประเทศ ตอนที่เกิด SARS รัฐบาลสิงคโปร์ก็จะใช้อำนาจอย่างเต็มที่ โดยมองว่า SARS ก็คือสงคราม (war) ที่รัฐบาลต้องเข้าไปป้องกันหรือแก้ไข ทหารเข้ามามีบทบาทในเรื่องนี้ แตกต่างจากทางฝั่งของเกาหลีใต้ในปัจจุบันที่ทหารไม่ได้เข้ามามีบทบาทเกี่ยวข้อง คิดว่าประเทศที่มีลักษณะค่อนข้างโน้มเอียงไปทาง authoritarian (อำนาจนิยม?) เราจะเห็นทหารมาเกี่ยวข้อง หรือโผล่มาเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ แต่หลายประเทศ ถ้าเป็นประเด็นเรื่องโรคระบาด คนที่เกี่ยวข้องหลักๆ จะเป็นบุคคลากรทางสายแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ผู้เชี่ยวชาญ แต่จะไม่ใช่ทหาร ดูญี่ปุ่นสิ

Q2: งั้นโปรเฟซเซอร์ว่า ในเคสเรื่องโรคระบาด ประชาธิปไตยทำให้เรื่องยิ่งแย่ไปใหญ่ไหมคะ หมายถึงทำให้กระบวนการแก้ปัญหามันล่าช้าขึ้น เพราะบุคคลากรที่เกี่ยวข้องก็จะมากขึ้นด้วย

A2: ประชาธิปไตยมีข้อดีตรงมันมักจะมาพร้อมความโปร่งใสของข้อมูล ขณะที่ถ้าเป็นเผด็จการ อำนาจเบ็ดเสร็จมีอยู่จริง จัดการไ้ด้คล่องตัว แต่ข้อมูลมักถูกปกปิด แล้วถ้าจัดการปัญหาการระบาดได้ไม่ดี จะยิ่งส่งผลร้าย เช่น เคสจีนที่ปกปิดข้อมูล ประชาธิปไตยมีหลายตัวแสดง ทำให้กระบวนการล่าช้าอย่างที่พูด แต่กระบวนการจะโปร่งใสกว่า

Q3: โปรเฟซเซอร์คิดเห็นอย่างไรกับการ “ปิดประเทศ” หมายถึงปิดพรมแดน (border) ในกรณีที่เกิดโรคระบาดหนักๆ

A3: ทำได้ แต่ควรเป็นกรณีสุดท้าย ทุกการตัดสินใจมีผลกระทบของตัวมันเอง อย่างในกรณีของไลบีเรีย ช่วงเกิดอีโบล่า เขาปิด “พรมแดน” ที่หมายถึงพรมแดนติดต่อกัน แต่ผมคิดว่าเขาไม่ไ้ด้ปิดการสื่อสารทางเครื่องบินนะ กรณีปิดประเทศ ถึงจะอยู่ในโลกยุคนี้ ก็ยังทำได้ แต่ใช่ว่าปิดแล้วจะป้องกันการระบาดได้หมด ต้องดูข้อดีข้อเสียของมันด้วย …แต่สิงคโปร์นี่ปิดประเทศไม่ได้แน่ๆ ไม่งั้นเราจะเอาอาหารที่ไหนมากิน

แฮร่… จบที่เรื่องกินสินะคะ

[status] 2015.06.19

MERS ในสื่อเกาหลีใต้

ประเด็นการเมืองเกี่ยวกับ MERS ก็คือ หลังจากมีการพบผู้ติดเชื้อ MERS และเสียชีวิตในเกาหลีเกินยี่สิบคนแล้วนั้น สื่อและสังคมเกาหลีใต้ก็ออกมาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องความเป็นผู้นำ (leadership) ของประธานาธิบดีหญิงปาร์คกึนเฮกันมาก เพราะสังคมเกาหลีใต้เคยเชื่อมั่นว่าตัวเองเป็นประเทศที่เจริญแล้วหลายๆ ด้าน และคิดว่าระบบสาธารณสุข เทคโนโลยี และบุคคลากรของตัวเองจะป้องกันหรือยับยั้งเรื่องเหล่านี้ได้แน่ๆ แต่พอเกิดการระบาดอย่างรวดเร็ว จำนวนคนตายเพิ่มขึ้น คนเก็เริ่มตั้งคำถาม เพราะตอนกรณี Swine Flu กับ SARS นั้นเกาหลีใต้ไม่ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้เลย ยิ่งทำให้พวกเขาเชื่อมั่นว่าพวกเขา (เคย) มีระบบที่ดีแล้ว แต่ทำไมในเคส MERS เกาหลีใต้กลับตกเป็นประเทศแรกๆ ในการระบาดในเอเชียตะวันออก … คำถามถึงผู้นำหญิงจึงอื้ออึงขึ้นมานั่นเอง

จบ. ไม่มีประเด็น. พูดตามที่เด็กเกาหลีมันเล่าให้ฟัง.

[ญี่ปุ่น] ยูกาตะ หนที่สอง

1012985_10153034921918235_203217432527186990_n

ยูกาตะ คือร่างจำแลงแบบลำลองของกิโมโน (งงไหม) มันคือกิโมโนที่ถูกทำให้ลำลองขึ้น ใส่ง่ายขึ้น เบาบางขึ้น เพราะต้องสวมใส่ในหน้าร้อน (กิโมโนมักใส่ในหน้าหนาว) แต่ขนาดยูกาตะถือเป็นชุดที่ลำลองแล้ว แต่มันก็ยังใส่ยากอยู่ดี

เป็นหนที่สองที่ได้ใส่ชุดยูกาตะ หนแรกก็ปีก่อน ได้รับความอนุเคราะห์ชุดจากพี่โอ๋ มอบให้ แต่ปีนี้จัดการซื้อเอง (แต่ไม่ครบเซ็ต) ยูกาตะถึงจะถือเป็นชุดแนวลำลอง แต่ถ้าจัดเต็มครบเซ็ตมีครบทุกอุปกรณ์ (ให้นึกภาพเวลาถอยกล้องถ่ายรูปแล้วอยากได้เลนส์ทุกแบบบนโลก พร้อมขาตั้ง พร้อมตัวเพิ่มแสง บลาๆๆๆ … นั่นแหละ สิ่งเดียวกัน) ก็จะราคาหนักอกหนักใจมาก จึงซื้อแค่ที่จำเป็นและสำคัญ นั่นคือตัวยูกาตะ โอบิ (ผ้าสีๆ ที่เห็นคาดเอว) ส่วนรองเท้ากับกระเป๋าได้มาจากพี่โอ๋ ส่วนผ้าคาดนี่ไม่มีนะ ถ้าอยากได้ผ้าคาดต้องซื้อกับเซ็ตที่เป็นชุดไว้ใส่ข้างในก่อนใส่ยูกาตะ (คล้ายๆ ชุดคลุมอาบน้ำสีขาว กับผ้าคาดสีขาวสองชุด ผ้าคาดเอวที่ใส่ก่อนโอบิ ตัวรองโอบิ … โอ้ย เยอะ) สรุปว่า เสียเงินซื้อแค่ยูกาตะสีม่วง กับโอบิสีพาสเทลนี่แหละ ซื้อที่ตลาดข้างบ้าน เพื่อกันการซ้ำซ้อน เวลาใส่ไปดูดอกไม้ไฟแล้วเจอคนใส่ยูกาตะกับโอบิแบบเดียวกับเรานี่เหวอนะค๊า การเลือกสีเองก็ถือว่าตัดโอกาสที่จะเจอคนใส่ยูกาตะกับโอบิสีเดียวเป๊ะๆ กับเราออกไปได้มากโข

คิดว่าความเข้าใจผิดของคนที่ไม่เคยใส่ยูกาตะ ที่มีต่อยูกาตะ ก็คือ … คิดว่ามันมีความยาวแบบที่เท่ากับตัวเราเป๊ะๆ มันออกแบบมาแบบสำเร็จรูปกับความสูงของเราแล้ว …ห่าน ไม่ใช่เลยแม้แต่น้อย ยูกาตะนี่ยาว ย๊าว ยาววววว ยาวมากกก และก็หลวมโพรกมาก ได้มาแล้วก็ต้องปรับระดับให้เข้ากับความสูงของตัวเอง ต้องจัดทรงให้มันดูไม่พองเกินไป รัดผ้าคาดให้แน่นหนา เพราะเวลาเดินแล้วอาจจะหลุดลุ่ยไม่งามได้ แล้วไงอีก…ส่วนยากที่สุดคือผูกโอบิ ต้องผูกเป็นโบสวยงามนะคะ ถ้ามีเสียงลือว่า ผู้หญิงเกาหลีเขาวัดความน่าแต่งงานด้วยกันที่เรื่องทำกิมจิ ผู้หญิงญี่ปุ่นนี่ก็วัดกันที่ว่าผูกโอบิสวยไหมคร่าาาา (อันนี้เป็นเสียงลือที่อาจไม่เป็นจริง) ซึ่งการผูกโอบินี่ข้าพเจ้าลองเองแล้ว ยังทำได้ไม่เวิร์กเลย สรุปว่าต้องให้เพื่อนญี่ปุ่นช่วย ซึ่งนางทำอยู่ 2 นาทีก็เสร็จสรรพออกมาแบบดีงาม

ความภาคภูมิใจในการใส่ยูกาตะหนนี้คือ รู้สึกว่าอุปกรณ์มีไม่ครบเซ็ต แต่เราก็ใส่ออกมาได้แบบสวยเลอค่าเหมือนอุปกณ์ครบเซ็ตมาก (ผ้าที่พันรอบเอวที่ซ่อนไว้นั้น คือเอาเศษผ้าในห้องมาพันเอา..ประหยัดเงิน ><“) อะไรจะไปภูมิใจมากกว่าจ่ายน้อยแล้วดูแพงไม่มีอีกแล้วล่ะค่ะสำหรับชะนี (เต้นระบำปลายเท้า)

ง่วง. จบ. ควรไปนอน.

[ญี่ปุ่น] อ้อมค้อมจนได้ (เรื่อง)

[ญี่ปุ่น]

จริงๆ เคยได้ยินมาบ่อยว่าคนญี่ปุ่นโดยมากจะไม่พูดอะไรออกมาตรงๆ ชอบสื่อสารแบบอ้อมๆ ไม่พูด “ไม่” ให้ชัดเจนไปเลย

ทีนี้ก็เลยจดจำไว้ และพยายามสังเกตให้มาก (พารานอยด์ไว้ก่อน) อันนำไปสู่เหตุการณ์นี้

ปีก่อนมีนัดกินข้าว เพื่อนญี่ปุ่นที่ไปฝึกงานเมืองนอกกลับมาโตเกียวเสียที ทีนี้ก็ชวนกันเป็นกลุ่มไม่ใหญ่มาก ซึ่งเราก็ไม่ถือเป็นตัวตั้งตัวตีอีก

ระหว่างวันบังเอิญไปเจอคลาสเมทอีกคน คือรู้แหละว่าชวนไปด้วยได้ แต่ก็คิดว่าถามพวกที่เป็นตัวตั้งตัวตีดีกว่า เลยส่งเมสเสจไปว่า “เออ ชั้นพาเพื่อนไปด้วยได้ไหม”

เด็กยุ่นส่งเมสเสจกลับมาเป็นสติ๊กเกอร์ยิ้มแฉ่ง ไม่มีคำว่า “yes” หรือ “no” อยู่ในนั้น เป็นครั้งแรกที่รู้สึกเกลียดความคลุมเครือของยุ่นมาก ห่านนนนน… ต้องการไรวะ ชั้นอ่านความนัยสติ๊กเกอร์ยิ้มของแกไม่ออกโว้ย

(คือไม่รู้มันส่งยิ้มมา เป็นนัยว่า “เธอไม่รู้เหรอว่าปาร์ตี้นี้คือเลี้ยงรับคนกลับมาเท่านั้น ช่วยคิดให้ลึกหน่อย” หรือว่า “พามาได้เลย” กันแน่)

ลังเล30นาที สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่ชวนคลาสเมทคนนั้นไปด้วย คือไม่เอ่ยปากบอกเลยว่ามีกินข้าวกัน ขอโทษเน้อ ก็ไม่รู้ว่าฝั่งยุ่นมันจะว่าอะไรไหม

อีกชั่วโมงนึงถัดมา ยุ่นพิมพ์มาเพิ่ม (เสียที) ว่า “พามาเลย คนเยอะสนุกดี”

ห่าน… กรูแยกจากคลาสเมทคนนั้นมาแล้วโว้ย

สรุปกินข้าววันนั้น พวกแม่งลากคนไม่สนิทมาอีกหลายคน บางคนบังเอิญเจอ

เลยบอกเด็กยุ่นไปว่า คราวหลังอย่าส่งไอค่อนอมยิ้มมาอีกนะ ให้ตอบ ได้หรือ ไม่ได้ ตรงๆ … ประเด็นคือชั้นอ่านความนัยพวกแกไม่ออก และชั้นจะไม่พยายามอ่านอีกแล้ววย่ะ ถ้าไม่ตอบตรงๆ ก็ถือว่าเป็นความผิดแกนะยะในครั้งต่อไปน่ะ

จบ. คนญี่ปุ่นแม่งเข้าใจยาก.

[japan] ที่ทำงานที่ดีที่สุดในโลก

แถวบ้านมีออฟฟิศดับเพลิงอาสาเพิ่งมาตั้ง ออกแบบได้โล่งโปร่ง คนทำงานมองออกมาเห็นวิวสนามเด็กเล่น มันอาจเป็นที่ทำงานที่ดีที่สุดในโลกก็ได้ (อินี่ก็ดราม่า)

ข้างสนามเด็กเล่น มีคนหลายวัยเดินไปมา บางคนเดินไปตลาดยานากะ ป้าใส่ชุดสูททำงาน (a.k.a office lady) ยืนพิงรั้วกั้นฟุตบาท มองเด็กๆ อยู่ ตรงโน้นก็มีคุณลุงในตึกดับเพลิง มานั่งริมกระจก ดูเด็กเล็กออกกำลังกาย (นี่มันชักคล้ายนิยายหลอกเด็ก…)

เวลาทำงานเครียดๆ การมีพื้นที่ที่เชื่อมโยงให้เรามองเห็นชีวิตอื่นๆ บ้าง ก็ดีนะ มันอาจทำให้เราหยุดแป๊บนึง หายใจยาว “เออ ครูพละน่ารักดี” แล้วไปต่อ

อ้าว… ไม่ใช่เรอะ ><

11112871_10152899954758235_156287449379213282_n

เม้าท์ EXO-L (เพื่อนชั้นเอง)

เบรกจาก textbook มาสู่การเม้าท์ EXO-L

เมื่อสองสัปดาห์ก่อนมี EXO-L มาเยี่ยมเยียน พวกนางเป็น VIP (แฟนคลับ Bigbang) กันมาก่อน ตอนที่รู้ว่านางหนึ่งคนในนั้น ค่อยๆ กลายร่างเป็น EXO-L ก็ตกใจเหมือนกัน จากที่นางเวิ่นเว้อแทยังอยู่ดีๆ นางกระโดดมาหาคยองซู (หรือ ดี.โอ. แห่ง EXO) ได้ยังไง …ชั้นไม่เข้าใจตรรกกะที่มีอยู่บนโลก

สมัยเป็นแฟน Bigbang นางก็ไม่ค่อยได้ตามหรือปฏิบัติภารกิจอะไร แต่พอนางเข้าสู่แวดวง EXO-L อินสตาแกรมนางก็เริ่มอุดมไปด้วยทริปเกาหลี นางบินไปเกาหลีบ่อยพอๆ กับที่รัฐบาลไทยจะอนุญาตให้มีวันหยุดยาวนั่นแหละ แป๊บนึงก็เห็นนางกินกาแฟที่คอฟฟีสมิธ แป๊บนึงก็เห็นนางอยู่ฮงเด บินกลับมาหายใจที่ไทยแป๊บนางก็บินกลับไปอีก แต่แล้วนางก็ต้องบินมาญี่ปุ่นกัน เพราะนางบอกว่า EXO จะมีแฟนมีตติ้งหนแรก … ห๊ะ! ตลอดมาวงนี้ไม่เคยมีแฟนมีตเหรอ? นางบอก “ไม่ๆ ที่ผ่านมาคือ Fan sign ซื้อซีดีแล้วเอามาแลก hi-five วินาทีสั้นๆ” นางบอกแฟนญี่ปุ่นอภิสิทธิ์มากมาย จัดแฟนมีตติ้งหนแรกก็จัดในญี่ปุ่น ที่สำคัญ กติกาวุ่นวายมากมายก็ถูกกำหนดขึ้น กติกาสมัครสมาชิกที่ญี่ปุ่นจะไม่เหมือนกับที่ประเทศเมียชั้นรองอื่นๆ ประเทศนี้เป็นประเทศเมียพระราชทาน ยิ่งใหญ่ เลอค่า กติกาเลยต้องเยอะ

แต่พวกนางก็อดทนทำทุกอย่างจนสมัครสมาชิกได้ และได้บัตร fan meeting มา

ก่อนนางบินมาโตเกียว (ฮาเนดะ) นางแวะไปโซลก่อน ภารกิจก็เห็นชัดๆ ว่าจะบินตามจากกิมโป มาฮาเนดะ นางก็ทำกันอย่างนั้นแหละ เพียงแต่นางก็ต้องรอที่ฮาเนดะนานหน่อย 5 ชั่วโมง กว่านางจะมาถึงย่านยานากะก็รถไฟหมดเวลาพอดี พอวันรุ่งขึ้นนางก็ต้องปฏิบัติมิชชั่นแฟนมีตติ้งอีก แต่ประเด็นฮามันอยู่ที่ตรงนี้

สัปดาห์ที่นางมา เป็นสัปดาห์ที่มีข่าวอย่างทางการว่า Bigbang is coming back เลยเกิดบทสนทนาดังต่อไปนี้

สถานการณ์ A

TT: เห็นข่าวว่า Bigbang จะคัมแบ็คกันยัง
EXO-L (s) : (เหลือบตาจากหน้าจอมือถือสามวิ) เห็นแล้ว (เสียงเรียบ) … แก๊ ดูพี่หมิ่นรูปนี้สิ (หัวเราะคิกคัก) …. อร๊ายยย คยองรูปนี้หล่อนะยะ …. เออ นัมจา (เว็บคลิปเอ็กโซ) อัพคลิปแล้วนะ

สถานการณ์ B
TT: นี่ๆ วันนี้ท็อป (T.O.P Bigbang) เปิดอินสตาแกรมแล้วนี่ เห็นยัง ลงรูปกระหน่ำเลย
EXO-L (s) : (เหลือบตาจากหน้าจอมือถือสองวิ) อืม … (เสียงเรียบ) …. แก๊ รีบลงรูปที่ไปถ่ายมาวันนี้เร็ว เออๆๆๆ แปะเครดิตก่อนนะ เอาเครดิตอะไรดี D.O.Love ไหม คิกๆๆๆ คักๆๆๆ เออๆๆๆ โพสอินสตาแกรมด้วย
EXO-L (เบอร์สอง) : เออๆ เดี๋ยวต้องจองตั๋วขากลับใหม่ น้องจะเปลี่ยนไฟล์ทกลับไหม แต่ไม่เป็นไร เรามีตั้งสองไฟล์ทเรียบร้อยแล้ว (ห๊ะ)

Bigeast อย่างชั้นเกาหัวแกร๊กๆ … ดีจังเลย ดีจังเลย

จบ.