แจ้งข่าว

แจ้งข่าวว่า จะย้ายไปอัพที่นี่แทนนะคะ

deartiktok.wordpress.com

บล็อกนี้อาจเก็บไว้ แต่คงร้างๆ หน่อย

Announcement

Please visit deartiktok.wordpress.com , instead of this blog. I will be more active there.

Thank you.

Tiktok

ถึงคุณ…ถ้าเราเคยรู้จักกันมาก่อนในชีวิต

23592409_10155277575553235_4994777053342152589_o

 

สวัสดีค่ะ

ฉันตั้งใจเขียนอีเมลนี้หาคนที่ฉันมี contact ไว้ จุดมุ่งหมายเพื่อแจ้งข่าวว่า หลังจากไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นมา 2 ปี ฉันได้รวบรวมประสบการณ์นั้น เขียนหนังสือออกมา 1 เล่ม

ต้นฉบับร่างแรกสุดของหนังสือเล่มนี้ถูกเขียนขึ้นที่กรุงโตเกียว ก่อนที่จะถูกขัดเกลาจนออกมาเป็นหนังสือเล่มนี้ ตอนที่เริ่มต้นเขียนนั้น เป็นช่วงกึ่งกลางของธีสิสปริญญาโทพอดี ที่ฉันเจียดเวลาในช่วงธีสิสมาเขียนหนังสือเล่มนี้ เพราะอยากบันทึกความทรงจำถึงเพื่อนคนหนึ่งไว้ และฉันคิดว่า ถ้าฉันไม่เริ่มต้นเขียนในตอนนั้น ความทรงจำบางอย่างอาจหล่นหาย … และฉันอาจไม่ได้เขียนถึงมันอีกเลย

นั่นคือจุดเริ่มต้นแรกสุด ที่ทำให้เกิดหนังสือเล่มนี้ขึ้น

 

หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า “ซากุระ, ซาโยนาระ” เป็นหนังสือที่ฉันใช้เงินทุนส่วนตัวจัดพิมพ์ขึ้นมาเองค่ะ โดยไม่ได้ผ่านสำนักพิมพ์ใดๆ

สำหรับชื่อหนังสือนั้น ถ้านับตามไวยากรณ์แบบญี่ปุ่นแล้ว การตั้งชื่อแบบนี้ถือว่าผิดหลักภาษาอย่างยิ่ง แต่หลังจากพูดคุยกับหลายผู้คน ฉันตัดสินใจใช้ชื่อนี้ เพราะคิดว่ามันสะท้อนเนื้อหาในหนังสือได้เป็นอย่างนี้ ฉันชอบความเบ่งบานของซากุระ ขณะเดียวกัน การร่วงโรยของมัน ก็ทำให้ฉันตระหนักถึงอะไรบางอย่าง

คุณเคยเห็นซากุระไหมคะ

เมื่อคิดถึงซากุระ ความทรงจำไหนบ้างที่โผล่มาทักทายคุณคะ
สำหรับฉัน ทุกครั้งที่นึกถึงซากุระ ความทรงจำถึงเรื่องราวในหนังสือเล่มนี้จะโผล่ขึ้นมาเสมอ

ความทรงจำถึงผู้คน ที่เราพานพบและลาจากในชีวิต

ฉันคิดถึงสิ่งเหล่านั้น

 

 

ถ้าเราเคยรู้จักกันมาก่อนในชีวิต และถ้าคุณอ่านมาถึงบรรทัดนี้แล้วสนใจอยากรู้จักหนังสือเล่มนี้มากขึ้น ฉันอยากขอร้องคุณดังนี้ค่ะ

1)ถ้าคุณกำลังมองหาของขวัญปีใหม่ ไม่ว่าให้ตัวเอง หรือให้ผู้คนในชีวิต แล้วคุณมีงบประมาณอยู่ราวๆ 350 บาท ฉันอยากลองให้คุณพิจารณาหนังสือเล่มนี้ดู

2)ถ้าคุณกำลังวางแผนจะไปดูซากุระบานที่ญี่ปุ่น ในช่วงปลายเดือนมีนาคม หรือต้นเดือนเมษายน ปี 2561 ฉันอยากให้คุณลองพิจารณาหนังสือเล่มนี้ดู … แต่ต้องบอกไว้ก่อนว่า มันไม่ใช่หนังสือไกด์บุ๊คนะคะ แต่ฉันเชื่อว่า มันจะทำให้คุณเข้าใกล้ความสมบูรณ์แบบของซากุระมากขึ้น อีกสักนิด

3)ถ้าคุณรู้จักใครที่สนใจญี่ปุ่น กำลังวางแผนจะไปดูซากุระบาน หรือแม้กระทั่งอยากหาหนังสือสักเล่ม เพื่อส่งมอบให้ใครสักคนเป็นของขวัญ ฉันอยากให้คุณลองพิจารณาหนังสือเล่มนี้ดูค่ะ

4)ถ้าคุณไม่อยู่ในสามกลุ่มข้างต้นเลย ไม่เป็นไรค่ะ แต่หากคุณพอมีเวลา ฉันอยากรบกวนช่วยแชร์ข่าวหนังสือเล่มนี้ในพื้นที่โซเชียลมีเดียของคุณได้ไหมคะ

 

และสำหรับคนที่สนใจอยากพลิกอ่านหนังสือ หรือแม้กระทั่งอยากสั่งซื้อ นี่คือรายละเอียดค่ะ

ชื่อหนังสือ : ซากุระ, ซาโยนาระ
ราคา :  275 บาท (ไม่รวมค่าจัดส่ง)
จำนวนหน้า : 328 หน้า
พิมพ์ครั้งที่ 2: ธันวาคม 2560
เขียนโดย : Tiktok

สำหรับคนที่ต้องการอ่านตัวอย่าง เพื่อทำความรู้จัก (ตัวหนังสือ)​ กันก่อน ดูได้ที่

อ่านตัวอย่างของหนังสือได้ที่ (issu) – https://goo.gl/25R4Zv

หรือจะดาวน์โหลดตัวอย่างบางส่วนแบบ PDF ไฟล์ – https://goo.gl/pLMTxv

 

 

ช่องทางการจำหน่าย

คุณสามารถซื้อหนังสือ “ซากุระ, ซาโยนาระ” แบบตัวเล่ม ได้  3 ช่องทางค่ะ

1)สั่งซื้อโดยตรงกับผู้เขียน ซึ่งก็คือฉันเอง โดยส่งอีเมลเข้ามาที่ tiktokthailand@gmail.com โดยระบุจำนวนเล่มที่สนใจสั่งซื้อ ทั้งนี้มีค่าขนส่งเพิ่มเติม 70 บาท แต่หากซื้อ 5 เล่มขึ้นไป จัดส่งฟรีค่ะ (ในประเทศ)

2)หลายคนอาจจะเขิน ลำบากใจ หรืออะไรก็แล้วแต่ เวลาต้องสั่งซื้อโดยตรงกับผู้เขียน แต่ก็อยากสั่ง เรามีทางเลือกให้ค่ะ คุณสามารถสั่งซื้อได้ทางร้านหนังสือออนไลน์ชื่อ Readery (http://readery.co) เป็นร้านที่น่ารักมากค่ะ สโลแกนคือ Reading is Sexy  วิธีชำระเงินก็มีให้เลือกหลายทางค่ะ ลองดูนะคะ

3)สำหรับคนที่ชอบไปร้านหนังสือ อยากหยิบจับพลิกดูก่อน อยากลองเปิดดูว่าจะชอบไหม อยากพิจารณาใคร่ครวญก่อนสักนิด … แล้วค่อยซื้อ

คุณสามารถซื้อหาได้ที่ร้านหนังสืออิสระใน กทม. โดยตอนนี้เรากำลังติดต่อพูดคุยกับทางร้านอยู่ค่ะ จะมีทั้งร้านที่อยู่ติดรถไฟฟ้า อยู่ใกล้ห้างใหญ่ใจกลาง กทม. และร้านที่อาจซุกซ่อนตัวตามย่านเมืองเก่า โดยจะมีการอัพเดทชื่อร้านอีกทีในวันที่ 15 ธันวาคม 2560 ที่เพจ Dear Tiktok รวมถึงที่บล็อก deartiktok.wordpress.com

 

สำหรับคำถาม ว่าถ้าสั่งซื้อเยอะๆ จะมีส่วนลดไหม เนื่องจากนี่เป็นหนังสือที่ฉันจัดพิมพ์เอง และเป็นฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2 (พิมพ์ครั้งที่ 1 ในจำนวนจำกัดเมื่อเดือนกันยายน 2560) ซึ่งหากพิจารณาจากเหตุผลที่ว่า คนที่สั่งซื้อฉบับพิมพ์ครั้งที่ 1 เขาซื้อในราคาเต็ม 275 บาท (เพราะต้นทุนการจ้ดพิมพ์ตอนนั้นถือว่าสูงมาก) เพื่อความแฟร์แก่นักอ่านรุ่น 1 ฉันเลยอภัยที่ต้องตอบว่า สำหรับเวอร์ชั่นพิมพ์ครั้งที่ 2 นี้ ฉันก็ลดราคาไม่ได้เช่นกันค่ะ

ดังนั้นราคาหนังสือจะอยู่ที่เล่มล่ะ 275 บาท นะคะ

 

ถ้าคุณอ่านมาถึงตรงนี้ ฉันขอขอบคุณมากๆ ค่ะ

และไม่ว่าคุณจะสนใจหนังสือหรือไม่ก็ตาม ฉันอยากฝากแชร์หน่อยนะคะ หากไม่รบกวนมากเกินไป

 

บทหนึ่งในหนังสือเขียนไว้ว่า

“ผู้คนที่เราพบ เปลี่ยนแปลงเราไม่มากก็น้อย”

ในจังหวะหนึ่งของชีวิต ฉันดีใจที่เราได้พบกันค่ะ

Tiktok

ก่อนปีเฮย์เซย์ 29 จะผ่านพ้น

 

sakura-cv-spread-01

 

 

 

หมายเหตุ: หากคุณเป็น Press และต้องการไฟล์ภาพเพื่อนำไปบอกเล่าต่อ สามารถดาวน์โหลดภาพและตัวอย่างบางส่วนของหนังสือได้จากลิงก์นี้ค่ะ – https://goo.gl/b1S5r7

หรือสอบถาม tiktokthailand@gmail.com

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

12 วันผ่าน ตรวจทาน New Year’s Resolutio

1)จะทำเว็บ >>> ต้องเริ่มด้วยการดูคลิปที่สอนทำเว็บ ซึ่งคุณบุ้ยส่งให้อีกที >>> สรุปว่ายังดูไม่จบเบยยยยยย >>> fail
2)จะเขียนหนังสือให้จบ >>>เขียนครั้งสุดท้ายบนรถทัวร์นครชัย จาก กทม.กลับ กาฬสินธุ์ วันที่ 31 ธันวาคม พอดี >>> ปีนี้แค่เปิดอ่านไฟล์ดูเมื่อคืน ร้องไห้ อิน (จะบ้าเรอะ) แล้วสรุปก็ยังไม่ได้เขียนต่อ >>> fail
3)ทำคลิป “ญี่ปุ่นไม่สมบูรณ์แบบ” เทปสอง >>> จะปล่อยคลิปเสียงภายในสัปดาห์แรกหลังปีใหม่ >>> ตอนนี้สัปดาห์ที่สองแล้ว ยังไม่ได้เริ่มอัดเลย ฮา >>> fail สิคร้า รออะไรอยู่ล่ะ
4)ออกกำลัง >>> ขุดตัวเองไปวิ่งที่สวนลุมมาได้สามวันติด และค้นพบว่าสวนลุมเหมาะกับจังหวะวิ่งชมวิวของชาวเรามาก ฮา เป็นมิชชั่นเดียวที่ทำแล้วพึงพอใจตัวเองมากในตอนนี้ >>> win บ้างอะไรบ้างสินะ
5)จัดระเบียบการทำงานตามหลัก pomodoro (โฟกัสแบบเต็มที่ 25 นาที พัก 5 นาที นับเป็น 1 pomodoro กลับมาทำแบบเดิมอีก ถ้าครบ 4 pomodoro ให้พักได้ 30 นาที … เห็นสายวิทย์เขาเอามาทำแล้วเวิร์ก เลยลองเอามาทำกับงานเขียนบ้าง ทำมาได้สามวัน กับงานที่ทำอยู่ ก็เวิร์กอยู่นะ หลักใหญ่ใจความคือ ต้องไม่ว่อกแว่กใน 25 นาทีนั้น ห้ามไลน์ อีเมล อะไรใดๆ ทั้งสิ้น เหมือนจะนาน แต่ทำแป๊บเดียวก็ได้พักแล้ว เอา 5 นาทีนั้นน่ะ มาเช็คไลน์ได้)
ดูเพิ่มเติม: http://mennblog.com/2016/self-development-in-2015/
สรุป อันนี้ win
6)เปิดขายหมูแดดเดียวให้ครัวครูวิ สินค้าแรกในแบรนด์ครัวครูวิ >>> ยังไม่เปิดขายล็อตสาม กำลังจัดการระบบอยู่ (ถ้าจะมี) >>> ถือว่าได้ทำ
win
เท่านี้ก่อน ยังมีหลายสิ่งอย่างอีกมาก แพลนไว้ แต่จะไปทำช่วงกลางปี (ที่มีทุนบ้างแล้ว)

I knew heaven for a while

once upon friday

บ้าจี้หรือเปล่า ตอนเพื่อนมาชวนเทรกกิ้งยอดเขาคินาบาลูแบบรีบๆ ถึงได้ตอบรับอย่างเร็ว ทั้งที่การ trekking หรือ Climbing ล้วนแต่ไม่ใช่แนวของฉันเลย (จำตอนไปปีนภูสอยดาวไม่ได้รึไง) แค่รู้จากกูเกิลว่าคินาบาลูเป็นยอดที่สูงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ก็ไม่ได้ระแคะระคายว่าการป่ายปีนขึ้นไปจะลำบากยากเย็นอะไรขนาดนี้

การเตรียมตัวก็ไม่มีนะ ปีนี้ยุ่ง กิจกรรมเยอะ เลยเตรียมอุปกรณ์จำเป็นไปให้อุ่นใจ

อาทิตย์ที่ 24 กันยายน 2560 ฉันพบว่าตัวเองเดินพอไหว หายใจได้ ไม่มีปัญหาด้าน physical แต่ในทาง mental เริ่มเกิดคำถาม เป็นคำถามเดิมที่มักจะอุบัติขึ้นมาตอนพีคๆ ว่า

นี่แกกำลังทำอะไรอยู่

และ

แกมาทำอะไรที่นี่

ก็ไม่รู้นะ ว่าอะไรเป็นแรงจูงใจให้คนร่วมร้อยเดินแบกของของจำเป็นในเป้ขึ้นมาที่ความสูงเกือบสามพันเมตรเหนือระดับน้ำทะเลเพื่อพักผ่อนไม่กี่ชั่วโมง


จันทร์ที่ 25 กันยายน 2560 เราตื่นขึ้นมาตอนเที่ยงคืน ตีหนึ่ง แต่งกายกันหนาวเต็มที่ อาศัยแสงไฟคาดหัวส่องนำทาง แล้วเริ่มเคลื่อนขบวนไปไต่ขึ้นยอดกันตอนตีสองครึ่งเกือบตีสาม ก้มหน้าก้มตาเดิน ไต่ และก้าวไปทีละก้าว บางช่วงพื้นภูเขาชันมากต้องใช้การป่ายปีน ไต่เชือกที่เขาขึงแน่นไว้กับพื้นที่เป็นหิน เพราะหวังจะไปให้ถึงยอด

แต่ฉันก็ตามเขาไป

ย่ำรุ่งที่ท้องฟ้าสะอาดใส เปิดโอกาสให้เรามองกลับลงไปเห็นเมืองทั้งเมืองที่ยังหลับใหล ในแสงไฟกะพริบพราว เงยหน้าขึ้นฟ้าก็เห็นดวงดาวใหญ่น้อย ชวนให้รู้สึกตัวเล็กจิ๋ว และอยู่ผิดที่ผิดทางอย่างบอกไม่ถูก

ยิ่งเดินสูงขึ้นเรื่อยๆ ก็ยิ่งต้องการอากาศมากขึ้น เหนื่อยง่ายขึ้น ต้องการหยุดพักบ่อยขึ้น แม้อากาศรอบตัวคือความเย็นเฉียบ แต่ร่างกายภายใต้เสื้อผ้ากันหนาวนั้นกลับร้อนและเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ระหว่างที่ยืนเกาะเชือกหอบ ขาสั่นอยู่ท่ามกลางความหนาวเหน็บ ภูมิประเทศแปลกตาที่เริ่มชัดเจนขึ้นจากแสงสว่างของขอบฟ้าทางตะวันออก ยิ่งทำให้สงสัยว่า นี่เป็นที่ที่มนุษย์อย่างเราควรจะอยู่หรือ

นึกขึ้นมาอย่างนี้ก็ตกใจ มองไปที่แสงไฟบนศีรษะของเหล่าอีลีทที่ล่วงหน้าขึ้นไปไกลลิบๆ โน่น …นี่เขากำลังพากันไต่ขึ้นไปเพราะอยากไปให้ถึงสวรรค์ ได้รับใบรับรองว่าไปถึงสวรรค์ แล้วก็ต้องลงมาในไม่ช้า เพราะว่าเรามีชีวิตอยู่บนสวรรค์ไม่ได้ สวรรค์ไม่ใช่ที่ที่เราควรอยู่ …อย่างนั้นหรือ

ฉันหยุดตัวเองตรงความสูงของจุดที่มียอด South Peak อยู่ตรงหน้า ค่อยๆ นั่งลง แล้วก็ถามตัวเองว่า แล้วที่ขึ้นมาถึงตรงนี้ เพราะว่าแกต้องการอะไร

…..

ท้องฟ้าเริ่มกระจ่าง สรรพสิ่งตรงหน้าเริ่มสว่างไสว ถ้าตรงนี้เป็นเชิงสวรรค์ มองลงไปข้างล่าง เบื้องหน้าคือที่ที่เราควรจะอยู่ใช่ไหม บนเตียงนอน ใต้ผ้าห่ม

…เออนั่นสิ ฉันพาตัวเองขึ้นมาบนนี้ทำไม ขึ้นมาเพื่ออะไร ใช่ อีโก้ฉันมีเหมือนคนอื่น แต่ฉันจะพิชิตยอดเขาสูง 4,095 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลไปเพื่ออะไร เพราะฉันอยากได้ใบรับรองซึ่งไกด์ที่ขึ้นมาบนนี้กันคนละเป็นร้อยรอบไม่มีเลย ใบนั้นหรือ

ไม่นะ ฉันไม่เคยนึกอยากได้ และไม่รู้จะเอามันไปทำอะไร

เออ แล้วฉันจะเดินต่อขึ้นไปเพื่ออะไร

คิดแล้วฉันก็นั่งรากงอกอยู่ตรงนั้น ชื่นชมภาพของยอด South Peak ที่ติดตามานาน

ของจริงคือความงามของเส้นสายที่ลงตัว เหมือนเนื้อเพลงที่คุ้นหู “บางอย่างไม่ต้องดีไซน์ และไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงอะไร” ธรรมชาติช่างสร้างสรรค์ ดินฟ้าอากาศช่างเป็นใจ ณ เวลานั้น ฉันนั่งตรงนั้น หายใจเข้าออก จับตาดูแสงที่เปลี่ยนไป บางช่วงก็ไม่ได้คิดอะไร บางช่วงก็คิด

…เธออยู่ตรงนี้มากี่ร้อยกี่พันปีแล้วฉันไม่อาจรู้ แต่ขอบคุณนะที่อยู่รอจนวันที่ฉันป่ายปีนขึ้นชมความยืนหยัด สง่างามของเธอ ขอบคุณมาก การเดินทางมาหาเธอทำให้อะไรหลายอย่างเติบโตในตัวฉัน หลายอย่างที่ประกาศออกมาเป็นใบรับรองใดไม่ได้

แล้วก็ไม่ได้ขยับตัวลุกไปไต่ขึ้นพิชิตยอดที่สูงที่สุดของคินาบาลูที่ห่างไปไม่ถึงกิโลเมตรแต่อย่างใด

ฉันว่าฉันพาตัวเองมาถึงตรงนี้ก็เพียงพอแล้ว

View original post

[seoulbeats] ทำไมกรณีประท้วงของ KBS + MBC จึงสำคัญ

link – http://seoulbeats.com/2017/09/mbc-kbs-media-strike-once-more-with-feeling/

เป็นบทความที่ดีมาก
seoulbeats เป็นเว็บที่ชอบเสมอมา และน่าจะตลอดไป (สมัยก่อนชอบ ellie มาก นางหายไปไหนแล้วนะ ไม่ได้ตามทวิตนางเลย)

บทความให้รายละเอียดเกี่ยวกับการประท้วงของ union/ พนักงานของ KBS กับ MBC ซึ่งส่งผลให้รายการ Infinite Challenge, I Live Alone ต้องหยุดออกอากาศ แล้วตอนนี้ก็มีประกาศเพิ่มว่า Music Core, Happy Together, Music Bank จะหยุดออกอากาศชั่วคราว พร้อมกับที่จะไม่มีงาน DMC Festival ปีนี้ (งานใหญ่มากเลยนะ เป็นงานประมาณว่าศิลปินเกาหลีใต้ขึ้นร้องเพลง เพื่อประกาศว่า เกาหลี (เหนือและใต้) เป็นหนึ่งเดียว /// อันเป็นข้อเรียกร้องทางการเมืองที่มีมายาวนานมาก แต่ใช้พลังของ pop cult เป็นหนึ่งในการเรียกร้อง)

รวมทั้งยังยกเลิกการแข่งขันกีฬาสีไอดอล Idol Star Athletics Championships ช่วงชูซอกด้วย (ช่วงไหว้พระจันทร์อ่ะ / อันเดียวกับของจีนและกลุ่มประเทศแนวนี้)

บทความบอกว่า การประท้วงของ joint Union KBS & MBC ไม่ได้เพิ่งมีครั้งแรก ถ้าย้อนไปหน่อย ที่พอจำได้คือ 2008 ก็เกิดประท้วงแล้วเรียกร้องให้ president ของสถานีลาออก คือ KBS นี่เป็นสถานีรัฐนะ ชื่อเต็มคือ Korean Broadcasting System ขณะที่ MBC ถึงจะเป็นเอกชน แต่ด้วยประวัติศาสตร์ชาติเกา ทำให้มันมีการใส่ขั้วอำนาจรัฐเข้าไปในบอร์ดบริหาร แล้วมันก็แทรกแทรกการตัดสินใจในฐานะสื่อ

พูดง่ายๆ ว่า KBS + MBC ถูกอำนาจรัฐเข้าครอบงำ ทำให้นักข่าวหรือรายการไม่สามารถสะท้อนความจริงได้เต็มปาก เพราะจะโดนฟ้อง หรือไล่ออก (เคยมีกรณีไล่ออกมาแล้ว)

แล้วเรื่องนี้ก็ย้อนกลับไปที่กรณีการล่มของเรือ Sewol ในปี 2014 ที่กระทบการทำงานของสื่อ ช่วงแรกสื่อทีวีไม่เล่นเรื่องนี้แรง ข่าวดูไม่ร้ายแรง จนกระทั่งชาวเน็ตค่อยๆ ขุดคุ้ย ก็เลยเกิดกรณีกันว่า สื่อทีวีไม่รายงานความเสียหายให้ใหญ่โต (ตามจริง) เพราะรัฐบาลกลัวเสียภาพลักษณ์ เลยควบคุมการรายงานข่าว

แล้วมันก็เกี่ยวพันกับกรณีล่าสุดของ อดีต ปธน. ปาร์ค กึน เฮ ด้วย ที่นางถูกถอดถอน (เขาใช้คำนี้กันป่ะ impeachment นี่)

สรุปคือ บทความกำลังจะพูดถึงว่า การที่ต้องยกเลิกรายการวาไรตี้บันเทิงเกี่ยวกับไอดอล ในท่ามกลางการประท้วงเรื่องเสรีภาพสื่อนี่ สำคัญมากนะ มันเป็น action ที่จะส่งผลดีต่อคนจำนวนมาก ไม่ว่าคนจำนวนมากจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม

ขณะเดียวกัน บทความก็วิพากษ์การประท้วงในแง่ที่ว่า มันอาจไม่ยั่งยืน เพราะตั้งแต่ปี 2008, 2012, 2014 ที่ประท้วงกันมา ก็บีบให้ประธานสถานีลาออก แต่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างการคัดเลือก คือประธาน KBS กับ MBC โดยโครงสร้างแล้ว ปธน.เกาหลีใต้ เสมือนจะแต่งตั้งคนของตัวเองเข้าไปกุมอำนาจได้ บทความเลยบอกว่า การเปลี่ยนแค่คน แต่ไม่เปลี่ยนโครงสร้าง มันก็จะทำให้ทุกอย่างเหมือนเดิม รัฐเข้าแทรกแซงได้เหมือนเดิมอยู่ดี ก็ประท้วงวนไปค่ะ

มีมากกว่านี้ในบทความ แต่เหนื่อยแล้ว แปลได้เท่านี้แหละ (อาจจะแปลผิดด้วย)
ไปเก็บคลิป Wanna One เมื่อวานต่อก่อน คังแดเนียลลูกแม่หล่อมาก คนอะไรจะหล่อขนาดนี้ นี่เป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคนหรือเปล่าคะลูก (ค่ะนี่คือการอวย)

[ว่าด้วยมาตรฐานการทำงานสื่อในยุคนี้]- Note to Self / แลกเปลี่ยน & ถาม

DKEJn6lVAAEFizM.jpg-large-2

 

 

[ว่าด้วยมาตรฐานการทำงานสื่อในยุคนี้]
– Note to Self / แลกเปลี่ยน & ถาม –
กลับมาทำงานด้านสื่อได้สักพักแล้วค่ะ หลังจากไม่ได้ทำมานาน พบว่ามีปัญหาจุกจิก และข้อสงสัยบางอย่าง ที่พยายามหาคำตอบ (เพื่อสร้างมาตรฐาน) ในการทำงาน แต่บางอันก็ยังหาคำตอบไม่ได้ ลองถามเพื่อนๆ ที่อยู่ในวงการเดียวกัน ก็พบว่า บางอันมันตอบยากจริงๆ … โดยเฉพาะสื่อเล็กๆ ที่ไม่ได้มีเงินมาก
ขอลิสต์สิ่งที่เราเจอและยังสงสัยอยู่ดังนี้
1] การใช้ภาพ:
1.1]ถ้าเป็นภาพสัมภาษณ์ หรือภาพที่ต้องถ่ายขึ้นใหม่ อันนี้จะไม่มีข้อสงสัยอะไร เพราะจ้างช่างภาพ บรีพงาน และถ่าย ลิขสิทธ์ภาพเป็นของผู้จ้างงาน (คิดว่านะ) แต่ถ้าจะมีการใช้ซ้ำ หรือนำไปใช้กับแหล่งอื่น ต้องขออนุญาตช่างภาพก่อน และต้องลงเครดิตด้วยว่าใครถ่าย
1.2]ภาพจากอินเตอร์เน็ต ประกอบข่าว ประกอบคอลัมน์ ส่วนใหญ่เป็นคอลัมน์แนวจุ๊กจิ๊ก แบบข่าวน่ารัก ข่าวน่าสนใจ ข่าวแปลกๆ แบบ boredpanda ไรงี้
แยกเป็น
1.2.1]ภาพไม่ติดลิขสิทธิ์ (ขึ้นใน google images ว่า ใช้ในเชิงพาณิชย์หรือดัดแปลงได้)
อันนี้น่าจะไม่มีปัญหาใช่ไหม แต่ปัญหาคือ
A) ภาพที่อนุญาตให้ใช้ได้ มักมีขนาดเล็กมาก ลงออนไลน์ได้ แต่ลง print ไม่ได้เลย
B) ภาพที่ไม่ติดลิขสิทธิ์มักไม่สวย และเนื้อหาภาพสื่อสารไม่ดี
1.2.2]
ภาพติดลิขสิทธิ์ (ขึ้นว่าห้ามดัดแปลงและห้ามใช้ในเชิงพาณิชย์)
อันนี้ที่ถูกต้องก็น่าจะเป็น
C) ขออนุญาตใช้ภาพก่อน และก็ควรลงลิงก์ที่มาของภาพด้วย
D) ควรได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร เช่น อีเมล ถ้ามีค่าใช้จ่ายก็จ่ายไป
แต่ปัญหาที่เจอคือ
E)หาต้นทางของภาพไม่เจอ ภาพที่เจอในเว็บอื่นที่เขาใช้ อาทิ techinasia, เว็บห้องสมุดบางรัฐของอเมริกา, อื่นๆ บางทีเว็บที่ลงก็ไม่ใช่ต้นทาง ต้องลิงก์ไปหาต้นทาง แต่บางทีเว็บนั้นไม่ได้ลงลิงก์เว็บต้นทางไว้ ก็ทำให้อาจติดต่อเจ้าของลิขสิทธิ์จริงไม่ได้อีก
F)ใช้เวลานานในการติดต่อต้นทาง อาจจะ 2-3 วันทำการ ซึ่งถ้าคุณเป็นสื่อ platform online อาจจะไม่ทัน / สื่อ print ก็อาจจะไม่ทัน เพราะมีกระบวนการทำงานนาน … ทางออกอาจจะเป็น การเลือกใช้ภาพอื่นแทน
1.2.3]
อันนี้จะเป็นปัญหาต่อการตัดสินใจมากสุด นั่นคือภาพ
G) ภาพของ public figure ที่ไม่ขึ้นว่าติดหรือไม่ติดลิขสิทธิ์ มีอยู่ในอินเตอร์เน็ต และบางทีไม่ระบุแหล่งที่มา
เช่น ภาพ  Elon Musk, Mark Zuckerberg
H)ภาพ public figure ที่เจ้าตัวโพสลง social media เอง เช่น (ตัวอย่างเดิม) Elon Musk, Mark Zuckerberg
คำถามคือ ถ้าเป็น Public Figure แล้ว ในฐานะสื่อ เราเอารูปเขามาใช้ได้เลยไหม เพราะหลายๆ ภาพมันไม่ระบุที่มา แต่ถ่ายในงานที่ public มากๆ  เช่น Elon Musk ตอนที่สังเกตการณ์การปล่อย Falcon 9, หรือภาพที่ Mark Zuckerberg โพสลง FB ของเขา เราเอามาลงสื่อเราเลยได้ไหม
เพราะคนเหล่านี้ ถ้าติดต่อขอใช้ภาพ แน่นอนว่า เขาไม่มีเวลาอ่าน หรือตอบ
ยกตัวอย่างเหตุการณ์
I) กรณี Elon Musk ทวีตความเห็นตอบกลับเรื่อง AI ของ Mark Zuckerberg
J) จากนั้นสื่อทุกเจ้าก็เล่นข่าวนี้กัน
K) ถ้าเป็นสื่อใหญ่ แนวสถาบันไปแล้ว เช่น cnn, nhk, bangkokpost, thairath (?) ไม่ค่อยมีปัญหา เพราะเขามีภาพ stock อยู่ในมืออยู่แล้ว (เช่น ภาพ AP)
L)แต่สื่อออนไลน์ที่เล็กหน่อย หรือไม่ใหญ่มาก เช่น the matter, the momentum, the standard, waymagazine (ขออ้างอิงนะคะ บก.ตุ่น) เขาใช้ภาพจากไหนอ่ะ เป็น stock ไหม
M)ถ้าเป็นภาพ stock หรือขออนุญาตแล้ว ต้องระบุที่มาอย่างเคร่งครัดทุกครั้งไหม
N)ถ้าได้ภาพ Musk มาจากอีกแหล่ง แล้วภาพ Zuckerberg มาจากอีกแหล่ง ก็ต้องลงทั้งสองแหล่งใช่ไหม
O)ถ้าเป็นเว็บแนวนี้ล่ะ เช่น sudsapda, bkkmenu (เผื่อเขาอยากลงข่าวนี้โว้ย) หรือแม้กระทั่ง blognone, e27 พวกนี้ใช้ภาพจากแหล่งไหนอ่ะ
กรณี public figure แบบดารา นักร้อง นางแบบ และนายแบบ
 P)แล้วถ้าเป็นสื่อใหม่เลย ไม่ใช่สถาบัน แต่วาง position แนวสื่อ เช่น http://www.hallyukstar.com อันนี้ ถ้าเขาเอาภาพมาลงทั้งใน เว็บ, fb, twitter, instagram, etc ภาพที่ใช้ลงเว็บ กับ twitter ความเคร่งครัดจะต้องต่างกันไหม (เหมือนคนจะชอบมองว่า ถ้าลง print ต้องเข้มงวดมาก, ลง web จะเข้มตามมา, และลง social media จะเข้มน้อยลง หรือบางคนไม่ใส่ใจเรื่องลิขสิทธ์ภาพไปเลย)
Q)ถ้าต้นทางของภาพ เป็นภาพแนวแอบถ่าย เช่น ภาพ Dispatch แอบถ่ายคังแดเนียลเดทติ๊กต่อกนูน่า (เอ่อ มรึงคะ) แล้ว Dispatch เอาลงสื่อตัวเอง จากนั้นทุกเจ้าเกี่ยวกับเกาหลีที่ต้องลงภาพนี้ ก็ต้องใช้ภาพจาก Dispatch แน่ๆ แต่ประเด็นคือ การเอามาใช้ ต้องขอ Dispatch เป็นลายลักษณ์อักษรไหม, แล้ว Dispatch ที่แอบถ่ายภาพเขาโดยไม่ได้ขออนุญาตก่อน มีสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของภาพแค่ไหน
R)ถ้ามีคนทำ twitter account แนวสื่อ เช่น korseries เขามีสิทธิเอาภาพจาก dispatch ไป repost ใหม่โดยไม่ระบุแหล่งที่มาได้ไหม (แต่ในภาพที่ repost จะมีลายน้ำ dispatch อยู่)
แล้วกรณีทำเว็บหรือเป็นสื่อเกี่ยวกับหนัง ซีรีส์ล่ะ?
S)ถ้าพูดถึงซีรีส์เรื่องหนึ่ง แล้วเราแคปจากหน้าจอคอมพ์มาใช้เลยได้ไหม การแคปภาพ ลิขสิทธิ์จะอยู่ที่ใคร? เช่น ถ้าเราเป็นลูกค้า netflix เราจ่ายรายเดือนแล้วอ่ะ เรามีสิทธิ์ดู แล้วเราแคปภาพ มาประกอบบทความออนไลน์ เช่น วิเคราะห์ Game of Thrones ได้ไหม, ต้องส่งอีเมลไปขออนุญาตจาก Netflix ไหม ว่าเราแคปภาพดังนี้นะ ขอเอามาลงนะ เป็นต้น
ภาพ Logo แบรนด์
T)ภาพ logo สินค้า เช่น Facebook uber, grab, McDonald’s เราใช้ได้เลยไหม ต้องขออนุญาตไหม
คิดว่า เรื่องที่ถูกต้องคือ ต้องขออนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรทุกครั้ง หรือไม่ก็จ่ายตังค์ซื้อมา แต่ปัญหาคือ การที่สื่อต้องการความเร็วในยุคนี้ ทำให้บางทีมันรอไม่ได้รึเปล่า (เช่น ข่าว Musk ทวีตตอบ Zuckerberg โห กว่าจะอีเมลไปขอใช้ภาพ Musk กับ Zuckerberg คงไม่ได้ลงอ่ะ) แล้วมาตรฐานที่ควรยึดอยู่ตรงไหน
แบ่งคำถามเป็น
ก.กรณีไม่ใช่ public figure
ข.กรณี public figure
ค.กรณี brand
พอล่ะ เหนื่อยพิมพ์
ภาพประกอบ เอามาจาก twitter ซึ่งก็มีคน retweet อีกที แต่ต้นทางมาจาก IG ของ Fashion Editor ของ Instyle Korea แน่นอนว่า คนเอามาลง twitter คงไม่ได้ขออนุญาตนางแน่ๆ .. และที่ชั้นเอามาโพส ชั้นก็ไม่ได้ขอใครเลย อ้าว…
ภาพที่เห็น คือคังแดเนียล so hot on Instyle Korea cover
ฝากร้านด้วยนะคะ
#ลูกก็คือลูก
ประเด็นทุกอย่างคือตอนท้ายนี่แหละ
อันยองงงงง (เป็นสำเนียงปูซาน)

เราต่างทิ้งร่องรอยอะไรบางอย่างต่อกัน…ในโลกออนไลน์

10224684106_b06976f052_o
 cr pic:  a friend of mine
1.
วันก่อน น้องคนหนึ่งโพสข้อความว่า “ความลับของฤดูร้อน”
ฉันชอบข้อความนี้มาก
ถัดจากข้อความนั้น วันต่อมาเธอก็โพสคำว่า “ฤดูร้อนใกล้จะจบลงแล้ว”
เดือนกันยายน ถ้านับตามซีกโลกทางเหนือ คือเดือนสิ้นสุดของฤดูร้อน
ภาพกระเป๋าแมวด้านบน ถูกถ่ายขึ้นในปลายฤดูร้อนของปีหนึ่ง
… ฉันไม่ได้เป็นคนถ่ายมัน …
… เป็น “เธอ” ต่างหาก ที่ถ่ายมันไว้ …
2.
เราไม่ได้คุยกันมาสักพักแล้ว … ตั้งแต่ตอนไหนนะ …​ อืม จำไม่ได้แล้วล่ะ
วันก่อน ฉันส่งอีเมลไปขอภาพที่เธอถ่ายไว้ ฉันจำได้ว่าเธอชอบพกกล้อง นั่นหมายความว่าเธอย่อมต้องชอบถ่ายรูป และเธอมักจะบันทึกภาพดีๆ เก็บไว้ได้เสมอ
แตกต่างจากฉัน
ฉันขอภาพเธอมาใช้ ด้วยเหตุและผลที่ซื่อตรงมาก ฉันบอกเธอไปว่า เธอจะไม่ได้รับเงินค่าภาพถ่ายจากฉันเลยนะ เพราะฉันไม่มีตังค์ แต่ฉันอยากได้ภาพถ่ายของเธอจริงๆ … ถ้าเธอจะอนุญาต
เธอตอบกลับมาเหมือนครั้งแรกที่ฉันเคยขออะไรบางอย่างเธอในฤดูร้อนแรกที่เราเจอกัน … เธอตอบว่า “ตกลง”
เธอให้ลิงก์ภาพถ่ายนั้นมา เป็นลิงก์ที่รวมภาพไว้ไม่มากนัก แต่มันระบุช่วงเวลาต่างๆ ในชีวิตช่วง 4 ปีหลังของเธอไว้
ในภาพถ่ายเหล่านั้น มีทั้งวันเวลาก่อนหน้าที่ฉันจะรู้จักเธอ วันเวลาที่ฉันจำได้แม่นยำว่าเราอยู่ตรงนั้นด้วยกัน และวันอื่นๆ หลังจากนั้นที่เธอมีชีวิตของเธอ
3.
ในวันนั้นที่ฉันส่งข้อความไปขอรูปถ่ายจากเธอ ในบล็อกของฉัน มียอดวิวเพิ่มขึ้น ตามสถิติของโลกออนไลน์ มันสามารถบอกได้ว่า การเยี่ยมชมเกิดขึ้น ณ จุดใดจุดหนึ่งของโลกใบนี้
ฉันรู้ว่าเป็นเธอ … ร่องรอยเงียบๆ ในโลกออนไลน์นั้น
…​ ก่อนหน้านี้อีกเช่นกัน เธอเคยทิ้งร่องรอยเงียบๆ ในบล็อกของฉัน, อย่างสม่ำเสมออยู่ช่วงหนึ่ง
… ทำไมฉันรู้ว่าเป็นเธอน่ะเหรอ,​ มันเดาไม่ยากหรอก
… ฉันไม่รู้ว่าเธอรู้ไหม ว่าทุกครั้งที่เธอแวะมาดูว่าฉันโพสอะไรในบล็อกบ้าง,​ มันมีร่องรอยบางอย่างปรากฏอยู่เสมอ
4.
ลิงก์ภาพถ่ายที่เธอให้มาก็เช่นกัน
ฉันรู้ได้ทันทีตั้งแต่ได้รับลิงก์ ว่าเมื่อฉันกดเยี่ยมเยือนและเข้าไปดาวน์โหลดภาพมา เว็บฝากไฟล์ภาพนั้นจะแจ้งเตือนเธอว่า มีการดาวน์โหลดรูปเกิดขึ้น และมีการเยี่ยมเยือนเกิดขึ้นกี่ยอดวิวแล้ว
ก่อนหน้าที่เธอจะให้ลิงก์ภาพกับฉัน อัลบั้มภาพที่เธออัพโหลดไว้ เกือบทุกภาพ มียอดวิวเป็น “ศูนย์”
ทั้งที่เธอถ่ายภาพได้ดีขนาดนี้, แต่เธอก็ไม่เคยคิดจะเผยแพร่ลิงก์ให้คนอื่นรู้
เมื่อภาพเริ่มจากยอดเป็นศูนย์,​ และฉันอาจเป็นคนเดียวที่มีที่อยู่ของลิงก์,​ นั่นหมายความว่า
ถ้ายอดวิวเพิ่มขึ้น, เธอก็คงเดาได้ไม่ยาก,​
ว่าใครคือคนที่แวะมาเยือน
5.
วันนี้,
ฉันคิดถึงช่วงเวลาเหล่านั้น
ฉันเลยย้อนกลับไปดูภาพถ่ายตามลิงก์นั้นอีกรอบ
ฉันรู้ดีว่า การแวะเยี่ยมเยียนนั้น จะทิ้งร่องรอยบางอย่างให้เธอได้รู้
เธอรู้ไหม
ความลับของฤดูร้อนก็คือ
ฤดูร้อนจบลงแล้ว
ฉันหวังว่าเธอจะสบายดีนะ

Serendipity Story

 

 

มีหนังเรื่องหนึ่งบนโลกที่ว่าด้วยการตามหาคนจากข้อมูลที่ปรากฏอยู่บนธนบัตร หนังเรื่องนั้นคือหนังโรแมนติกชวนฝันที่ชื่อ เซเรนดิพิตี้ ซึ่งออกฉายในปี ค.ศ.2001 หนังเล่าเรื่องของโจนาธานและซาร่าซึ่งบังเอิญพบกันด้วยโชคชะตา ทั้งคู่ต่างไม่รู้ชื่อหรือที่มาของอีกฝ่าย หากกลับยอมโยนชะตากรรมไว้กับธนบัตรและหนังสือเล่มหนึ่ง ซาร่าขอให้โจนาธานเขียนชื่อและเบอร์ติดต่อไว้บนธนบัตร 5 ดอลล่าร์สหรัฐ ขณะที่หญิงสาวเขียนชื่อและเบอร์โทรของเธอไว้ในปกในของวรรณกรรมชิ้นเยี่ยมเรื่อง เลิฟ อิน เดอะ ไทม์ ออฟ โคเลอร่า เขียนโดย กาเบรียล การ์เซีย มาร์เกวซ คนคู่นี้พลัดพรากกันหลายปีและเกือบต้องแต่งงานกับคนอื่น แต่แล้วในวันหนึ่ง ธนบัตรใบนั้น พร้อมๆ กับวรรณกรรมเล่มนั้นก็ตกอยู่ในมือของทั้งสอง โชคชะตาค่อยๆ ทำงานของมันอย่างเงียบเชียบ…และสร้างสรรค์ตอนจบแสนสุขได้ราวปาฏิหาริย์

9780241978924

 

 

Repost: Blog – Letter to Mom

แม่

…ที่โตไดไม่ใช่โลกทั้งใบ แต่ที่นั่น หนูเจอทั้งคนที่มีฝันใหญ่ๆ และคนที่มีฝันเล็กๆ
แม่คงรู้ คนประเภทไหนดึงดูดใจหนูได้ดีที่สุด…

แม่จำตอนที่หนูส่งจดหมายไปขอกล้าพันธุ์หอมเปจากสวนของโจน จันได ได้ไหม หนูได้รับจดหมายตอบกลับจากทีมงานสวนคนหนึ่ง เขาเป็นคนร้อยเอ็ด เขาเขียนมาว่า “กาฬสินธุ์กับร้อยเอ็ดก็ใกล้กันนิดเดียวเองเนอะ…ปลูกหอมเปขึ้นแล้ว อย่าลืมถ่ายรูปส่งมาให้ดูบ้างนะ:)” หนูยังเก็บจดหมายนั้นไว้ แต่ไม่เคยได้เขียนจดหมายตอบกลับพี่เขาไปเลย เพราะหอมเปของหนูไม่เคยงอก หนูเป็นเด็กจบปริญญาตรีที่ปลูกหอมเปไม่ขึ้น

ไม่เหมือนสวนโหระพา ข่า ตะไคร้ ไร่มันสำปะหลัง และทุ่งนา 15 ไร่ของแม่
แม่ปลูกมันขึ้นมาเองทั้งหมด และมันก็เติบโตง่ายดายมาก ง่ายดายจนใครต่อใครที่ได้เห็นมักคิดว่าเขาก็คงทำได้

แต่หนูรู้,ไม่ง่ายหรอกนะที่เราจะทำให้พืชผัก และข้าว งอกงามได้

อยู่ที่โตเกียว เวลาหนูเจอคนฉลาดมากๆ (อันหมายถึงเขาก็นิสัยดีด้วย) หนูมักตั้งข้อสงสัยในใจเงียบๆ คนเดียวเสมอ
“ถ้าเอาเมล็ดหอมเปให้เธอปลูก เธอจะปลูกมันได้งอกงามไหมนะ”

หนูคิดอย่างนี้จริงๆ สงสัยอย่างนี้ทุกครั้ง เวลาเจอความคิดเห็นน่าสนใจ คำถามที่สะท้อนถึงความรอบรู้ของคนถาม และคำตอบที่แสดงให้เห็นว่าเขาคิดใคร่ครวญและอ่านหนังสือมามากมายขนาดไหน

แต่การปลูกผักปลูกหญ้าและการทำนา ก็เหมือนกับการว่ายน้ำ
มันไม่ได้เกิดจากการคิดใคร่ครวญ มันเกิดจากการลงมือทำ
มันใช้ทักษะคนละแบบกับในชั้นเรียน

เหมือนกับการเล่นสกี

หนูเล่นสกีได้ห่วยแตกมากค่ะแม่ อย่างที่แม่รู้มาตลอดชีวิต หนูเป็นคนควบคุมร่างกายไม่เก่ง โดยเฉพาะตรงกล้ามเนื้อขา หนูควบคุมและใช้กำลังขาได้ไม่ดีนัก
บทเรียนแรกสุดของสกีคือ เราต้องรู้จักล้มให้ดี “good fall” เราต้องลุกขึ้นมาให้ได้ “how to stand up” และเราต้องรู้จักหยุด “how to stop”
โค้ชสกีจากชมรมนักเล่นสกีของโตไดสอนหนูอย่างนี้

ล้มเหลว ลุกต่อ และรู้จักหยุด – หนูคิดว่า “นี่มันปรัชญาชีวิตชัดๆ”

ไม่มีใครไม่เคยเจอเรื่องแย่ๆ หรอก,หนูรู้ว่าแม่รู้ข้อนี้ดีกว่าหนูด้วยซ้ำ

หลังทริปสกีจบลง ชมรมนักเล่นสกีของโตไดพาเด็กต่างชาติอย่างเราไปที่โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง ที่นั่น เราเจอเด็กมัธยมต้นจำนวนมาก บางคนขี้อาย บางคนขี้เล่น แต่ที่เหมือนๆ กันคือพวกเขามีประกายตาแวววาว
หนูชอบประกายตาอย่างนั้น

เราเล่นเกมสำคัญกันสองเกม เกมแรกคือให้พับจรวดกระดาษ แล้วแข่งกันปาจากชั้นสองของโรงยิม แข่งกันว่าใครจะปาจรวดกระดาษได้ไกลที่สุด
…หนูพับจรวดได้ห่วยมาก และจรวดกระดาษที่ไม่เพรียวลม ไม่มีวันจะลอยละลิ่วไปได้ไกลหรอก…

“แหมะ”, จรวดตกลงแค่ตรง 15 เมตรตรงหน้า,ขายหน้ามากเลยล่ะแม่

เกมที่สอง เกมเตะลูกบอลเพื่อคว่ำขวดน้ำ,จริงๆ มันเหมือนกับการโยนโบว์ลิ่งนั่นแหละ เพียงแต่เราเปลี่ยนมาเตะบอลและใช้ขวดเป๊บซี่กรอกน้ำลงไปแทน

ชายหนุ่มจากโตไดที่เขวี้ยงจรวดกระดาษได้ไกล เตะลูกบอลไม่โดนขวดน้ำสักขวด (ฮ่าฮ่า, หนูแอบหัวเราะดังกึกก้องในใจคนเดียว)

เกมนี้แทบไม่มีใครเตะโดนขวดเลยค่ะแม่ เรียกได้ว่าทุกคนที่เก่งกาจในเกมก่อนหน้า “ปิ๋ว” หมดในเกมนี้

แล้วก็เหลือหนูกับเด็กหญิงมัธยมต้นหน้าตาธรรมดาคนหนึ่งเธอพยักหน้าให้หนูเตะก่อน, ขวดน้ำมีสามขวดค่ะแม่ หนูลองกะกำลังขาของตัวเอง…แม่เชื่อไหม หนูรู้ตั้งแต่ตอนง้างขาแล้วว่า หนูจะเตะโดนขวดแน่ๆ

“ป๊าบ” ขวดสองในสามล้มลง
คนที่ขว้างจรวดได้ไม่ไกลเลย กลับเป็นคนที่เตะขวดน้ำล้มคว่ำได้มากกว่าผู้ชายในโรงยิมทั้งหมด (ฮี่ฮี่)

ยัง,เรื่องยังไม่จบ
จำเด็กหญิงคนตะกี้ได้ไหม เธอดูธรรมดามากๆ
แต่เธอเตะขวดน้ำล้มคว่ำไปสามขวด (หมดเกลี้ยงเลย ฮี่ฮี่)
แล้วเธอก็ยิ้มดีใจ … หนูยังจำรอยยิ้มของเธอได้จนถึงวันนี้

หนูเคยอ่านที่นิ้วกลมเขียนถึงตอนเขาไปโรงครัวสักที่ ตอนที่เขาคุยกับแม่ครัว ตอนที่อยู่นอกครัว แม่ครัวมีท่าทีเก้ๆ กังๆ ดูเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเองเสียด้วยซ้ำ แต่พอเธอจับตะหลิว แล้วหันมาพูดเรื่องข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด ที่ใช้ทำกับข้าวเท่านั้นแหละ …ตาเธอเป็นประกายวิบวับ และตรงนั้น ก็ไม่มีใครมั่นใจในตัวเองมากกว่าเธออีกแล้ว

เธอทำให้หนูคิดถึงแม่ ตอนแม่ทำต้มยำกุ้ง หั่นปลา เชือดคอเป็ด (โอเค, การทำครัวไม่โรแมนติกสักนิด เราควรยอมรับกันได้แล้ว)

หนูเข้าใจมานานแล้วว่า มนุษย์มีทักษะแตกต่างกันไป แต่วันที่เตะลูกบอลไปโดนขวดน้ำนั่นเอง ที่หนูรู้ว่า คนเราทำบางเรื่องได้ไม่ดี แต่ไม่ใช่ว่าจะทำเรื่องอื่นๆ ได้ย่ำแย่
มันต้องมีสักเรื่อง สักอย่าง ที่เราทำได้ดี หรือทำแล้วเรามั่นใจ

.
.
.
ที่โตได มีคนเก่งๆ เดินเต็มกันว่อนไปหมด
แต่มีอยู่คนหนึ่งที่หนูว่าเจ๋งสุดๆ

เธอแต่งงานตอนอายุ 24 และตอนนี้ก็มีลูกอายุ 5 ขวบ
เธอทำกับข้าวเก่ง เธอเขียนภาษาอังกฤษได้สวยมาก แต่ขณะเดียวกัน เธอก็ดูธรรมดาสุดๆ
ชีวิตเธอเหมือนสมการกราฟเส้นตรง เรียบง่าย ตัวแปรน้อยราย ไม่ซับซ้อน เธอสวยและผิวเนียนก็จริง แต่ไม่ได้โดดเด่นถึงขั้นสะดุดตา ที่สำคัญ ถ้ามองกันแบบเผินๆ เราก็พร้อมจะผ่านเลยเธอไป

แต่เธอเจ๋งตรงที่ว่า เธอดูธรรมดานี่แหละ
หนูรู้ว่าเธอคิดถึงลูกชาย (โอเค หนูไม่เคยมีลูก แต่หนูคิดว่าหนูเข้าใจความรู้สึกของการคิดถึง “บ้าน” เป็นอย่างดี) แต่ละวัน เธอก็ตื่นมาทำกับข้าว ห่อข้าวเที่ยงมากินที่คณะ นั่งดูซีรีส์เกาหลีในไอแพด ตื่นตระหนกกับการสอบที่จะมาถึงพอเป็นพิธี ถอนหายใจบ้าง โทรศัพท์กลับบ้านบ้าง และกดไลค์เฟซบุ๊คของเพื่อนๆ บ้าง
แล้วก็เดินกลับห้องพักของเธอ

หนูเคยถามเธอว่า เธอมาเรียนต่อทำไม เธอบอกว่าเธอไม่อยากทำงานธนาคารอีกแล้ว เธออยากสมัครเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยใกล้บ้าน มีเวลาอยู่กับลูก ดูแลสามี
แค่นี้แหละ ที่ทำให้หนูรู้สึกว่าเธอเจ๋งมาก

เธอไม่ได้ต้องการจะเปลี่ยนโลก ฝันของเธอเล็กนิดเดียว แต่เป็นฝันที่หนูว่ามันสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่าคนที่จะไปทำงานยูเอ็นเสียด้วยซ้ำ

ที่สำคัญ เธอทำให้หนูคิดถึงแม่

…ที่โตไดไม่ใช่โลกทั้งใบ แต่ที่นั่น หนูเจอทั้งคนที่มีฝันใหญ่ๆ และคนที่มีฝันเล็กๆ…
แม่คงรู้
แม่รู้ดีเสมอ
คนประเภทไหนดึงดูดใจหนูได้ดีที่สุด 🙂

11 สิงหาคม 2557 ปีที่แม่อายุครบ 61 ปี

 

 

10562540_10152348195863235_7698595145456512792_o